สแกนความสำเร็จ “เลสเตอร์ ซิตี้” ตกชั้น 1 ปี ขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง


จับกระแสวงการกีฬา

4 พ.ค. 67

สันทัด โพธิสา

Logo Thai PBS
สแกนความสำเร็จ “เลสเตอร์ ซิตี้” ตกชั้น 1 ปี ขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ กำลังลุ้นแชมป์กันอย่างสุดมัน แต่สำหรับลีกเดอะแชมเปียนชิพ “เลสเตอร์ ซิตี้” คว้าแชมป์ประจำฤดูกาล 2023-2024 ไปครองเรียบร้อย 

โดย เลสเตอร์ ซิตี้ จะได้สิทธิ์เลื่อนชั้นกลับมาเล่นในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในฤดูกาลหน้า 2024-2025 ซึ่งเป็นการตกชั้นและเลื่อนชั้นขึ้นมาภายในปีเดียว ถือเป็นความสำเร็จ และเป็นผลงานที่ไม่ธรรมดา 

ก่อนที่พลพรรคจิ้งจอกสยาม จะหวนกลับมายังศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2024/2025 เรามาสแกนความสำเร็จของ เลสเตอร์ ซิตี้ ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร

ย้อนร้อย เลสเตอร์ ซิตี้ ก่อนตกชั้น เคยสร้างปรากฎการณ์ “เทพนิยายจิ้งจอก” มาแล้ว 

ช่วงปี 1980 เลสเตอร์ ซิตี้เคยตกชั้นลงไปสู่ลีกดิวิชัน 1 อังกฤษ (ชื่อก่อนเปลี่ยนมาเป็นเดอะแชมเปียนชิพ) จนได้กลับขึ้นมาสู่ลีกสูงสุด หรือพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในฤดูกาล 2014-2015 

โดยในฤดูกาลแรกที่ขึ้นชั้นกลับมายังพรีเมียร์ลีก เลสเตอร์ ซิตี้ ในฐานะทีมน้องใหม่ ทำผลงานจบในอันดับ 14 เก็บแต้มไปได้ 41 คะแนน ถือว่าเอาตัวรอดในปีแรกของพรีเมียร์ลีกไปได้

เลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2015-2016

แต่แล้วในฤดูกาล 2015-2016 เลสเตอร์ ซิตี้ กลับทำเซอร์ไพรส์ ด้วยการทะยานคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษมาครอง โดยทำแต้มไปได้ 81 แต้ม ทิ้งห่างอาร์เซนอลทีมอันดับสองที่ทำแต้มไปได้เพียง 71 คะแนน แถมยังเป็นทีมที่มีสถิติชนะเยอะที่สุด 23 นัด และแพ้น้อยที่สุดเพียง 3 นัด

เลสเตอร์ ซิตี้ พลาดท่าตกชั้นในพรีเมียร์ลีก ได้อย่างไร ?

หลังจากคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2015-2016 เลสเตอร์ ซิตี้ก็โลดแล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก อีก 6 ฤดูกาล โดยทำผลงานเกาะอยู่ในกลุ่มกลางตารางเป็นส่วนใหญ่ 

  • ฤดูกาล 2016-2017 จบที่อันดับ 12 
  • ฤดูกาล 2017-2018 จบที่อันดับ 9 
  • ฤดูกาล 2018-2019 จบที่อันดับ 9 
  • ฤดูกาล 2019-2020 จบที่อันดับ 5 
  • ฤดูกาล 2020-2021 จบในอันดับที่ 5  
  • ฤดูกาล 2021-2022 จบที่อันดับ 8 
     

กระทั่งในฤดูกาล 2022-2023 ผลงานของเลสเตอร์ ซิตี้ ตกลงไปอย่างหนัก ทำผลงาน 38 นัดในลีกด้วยการ ชนะ 9 เสมอ 7 และแพ้ถึง 22 นัด คว้าไปได้ 34 แต้ม จบในอันดับ 18 จาก 20 ทีม ส่งผลให้ต้องร่วงตกชั้นลงไปสู่ลีกเดอะแชมเปียนชิพอีกครั้ง

หลังตกชั้น ประธานสโมสรส่งสารปลุกขวัญกำลังใจ

ภายหลังจากนัดสุดท้าย ที่เปิดบ้านเอาชนะทีมเวสต์แฮมไปได้ 2-1 แต่ยังไม่เพียงพอต่อการอยู่รอดในพรีเมียร์ลีก อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ได้ส่งสารถึงแฟนบอล โดยมีบางท่อนบางตอนที่น่าสนใจว่า…

“การเดินทางของเราเริ่มต้นในปี 2010 เมื่อเราเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว เลสเตอร์ ซิตี้ นับตั้งแต่วันที่เราเข้ามา เรารู้สึกได้ถึงความรักและความคลั่งไคล้ของแฟนบอลทุกคน ตั้งแต่วันนั้น เรามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่นั่นคือการพาสโมสรกลับไปเล่นในพรีเมียร์ลีก”

“การเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เรื่องราวหลังจากนั้นคือสิ่งมหัศจรรย์ที่ทุกคนไม่มีวันลืม ฤดูกาลแรกของเราในพรีเมียร์ลีก ทุกคนคิดว่าเราจะตกชั้นแน่นอน อย่างไรก็ตามเรารวมใจกันฝ่าฟันทุกอุปสรรค พวกเรารอดตกชั้น จนได้รับขนานนามจากแฟนฟุตบอลว่า “การหนีตกชั้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” ก่อนที่ในฤดูกาลต่อมาเราจะสร้าง “เทพนิยาย” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการกีฬาด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ ทั้งที่ไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น เราเกือบจะตกชั้น”

“ฤดูกาลที่เพิ่งจบลงไปเป็นฤดูกาลที่ยากลำบากของพวกเราทุกคน และท้ายที่สุดแล้ว เราต้องตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก เมื่อวานนี้ เราทุ่มเททุกอย่างเพื่อหวังที่จะอยู่รอดต่อไปในพรีเมียร์ลีก บรรยากาศในสนามสุดยอดมาก น่าเสียดายที่ในท้ายที่สุด เราไม่สามารถอยู่รอดต่อไปได้ ฟุตบอลลีกเป็นการลงเล่น 38 เกม และเราต้องยอมรับว่าเราทำได้ไม่ดีพอ”

"วันนี้ พวกเราทุกคนเจ็บปวดและผิดหวัง แต่พวกเราจะกลับมาอีกครั้ง”

ตกชั้นเพียง 1 ปี หวนกลับสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง

ในวันที่ทีมตกชั้นสู่ลีกเดอะแชมเปียนชิพ ไม่มีใครทำนายได้ว่า ทีมจิ้งจอกสยาม จะคัมแบ็กกลับมายังลีกสูงสุดได้อีกเมื่อไร แต่กลับกลายเป็นว่า เลสเตอร์ ซิตี้ ในการคุมทีมของ เอนโซ มาร์เรสกา ผู้จัดการทีมคนใหม่ สามารถทำให้ทีมจิ้งจอกสยาม กลับมาโลดแล่นในพรีเมียร์ลีกได้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว 

เลสเตอร์ ซิตี้ ประเดิมผลงานในลีกเดอะแชมเปียนชิพด้วยการชนะ 9 นัดจาก 10 นัด ก่อนจะเดินหน้าโกยแต้ม จนสุดท้ายสามารถการันตีการเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกก่อนจบฤดูกาลด้วยซ้ำ ด้วยการทำผลงาน ชนะ 31 เสมอ 4 และแพ้ 10 นัด 

ว่ากันว่า ลีกเดอะแชมเปียนชิพ เป็นหนึ่งในลีก “สุดหิน” ของโลกฟุตบอล แต่ละทีมต้องลงเตะทั้งฤดูกาลกว่า 46 นัด ไม่นับรายการฟุตบอลถ้วยต่าง ๆ อีกจำนวนหนึ่ง ทั้งหมดจึงเป็นเรื่องไม่ง่ายสำหรับทีมที่เพิ่งตกชั้นลงมาอย่างเลสเตอร์ ซิตี้ 

แต่สุดท้ายพลพรคคจิ้งจอกสยามก็เข้าป้ายคว้าแชมป์จนได้ แถมยังทำสถิติเป็นทีมที่คว้าแชมป์ลีกเดอะแชมเปียนชิพมากที่สุด ถึง 8 ครั้ง คือในฤดูกาล 1924-1925, 1936-1937, 1953-1954, 1956-1957, 1970-1971, 1979-1980, 2013-2014 และ 2023-2024 โดยแซงหน้าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เคยทำได้ 7 ครั้งเท่านั้น

ปัจจัยอะไรที่ทำให้เลสเตอร์ ซิตี้ กลับขึ้นมายังพรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง ?

หลังตกชั้นลงมาสู่ลีกเดอะแชมเปียนชิพ เหล่าบรรดาผู้เล่นตัวหลักของเลสเตอร์ ซิตี้ ต่างทยอยย้ายทีมออกไป อาทิ เจมส์ แมดิสัน, ฮาร์วีย์ บาร์นส์, ยูริ ติเลอม็องส์, จอนนี อีแวนส์ และ อโยเซ่ เปเรซ แต่ถึงอย่างนั้น ยังมีผู้เล่นชุดเดิมหลงเหลืออยู่ในทีม อาทิ มาร์ค อัลไบรท์ตัน, ยานนิค เวสเตอร์การ์ด, เคียร์แนน ดรูว์สเบอร์รี่ ฮอลล์ 

นอกจากนี้ ยังได้นักเตะตัวใหม่ อาทิ แฮร์รี่ วิงส์, สเตฟีย์ มาวิดิดี้ และ คอเนอร์ โคดี้ ซึ่งทั้งหมดเป็นนักเตะ “เกรดพรีเมียร์ลีก” ที่ย้ายเข้ามาช่วยให้เลสเตอร์ ซิตี้ ยังรักษาฟอร์มการเล่นได้ดีต่อเนื่อง

แฮร์รี่ วิงส์ นักเตะตัวใหม่ของเลสเตอร์ ซิตี้

อีกตัวแปรสำคัญที่มองข้ามไปไม่ได้ นั่นคือ นักเตะกองหน้าของทีม เจมี วาร์ดี แกนนำคนสำคัญที่ยังคงเป็นหัวใจให้กับทีม วาร์ดี ลงเล่นไปแล้ว 36 นัดในฤดูกาล 2023-2024 ยิงไปได้ 20 ประตู แม้จะมีอายุกว่า 37 ปีแล้วก็ตาม แต่เจ้าตัวยังคงรักษาฟอร์มการเล่น ช่วยให้เลสเตอร์ ซิตี้ ทำผลงานได้ดีมาตลอด 

ปัจจุบัน วาร์ดีลงเล่นให้กับเลสเตอร์ ซิตี้ มากว่า 12 ปี ยิงไปแล้วกว่า 190 ประตู ได้รับการยกย่องให้เป็นตำนานของทีม

เจมี วาร์ดี ตำนานคนใหม่ของเลสเตอร์ ซิตี้

นอกจากตัวผู้เล่น การเปลี่ยนโค้ชใหม่ ก็มีผลต่อการ “คัมแบ็คพรีเมียร์ลีก” ได้อย่างรวดเร็ว เลสเตอร์ ซิตี้ จัดการเปลี่ยน ดีน สมิธ โค้ชเก่าที่อำลาทีมไปหลังตกชั้น มาเป็น เอ็นโซ มาเรสกา ผู้จัดการทีมชาวอิตาลี ซึ่งเป็นอดีตทีมงานของ เป๊บ กวาร์ดิโอลา ซึ่งมาเรสกาเคยเป็นหนึ่งในผู้ฝึกสอนที่ช่วยทำให้แมนฯ ซิตี้คว้าทริปเปิลแชมป์เมื่อฤดูกาลก่อน

จุดเด่นของมาเรสกา ถือเป็นเฮดโค้ชที่ผ่านร้อนผ่านหนาว มีประสบการณ์ทั้งดีและร้ายในการคุมทีมฟุตบอลมาพอสมควร เคยพาทีมเยาวชนของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกชุดเยาวชน ก่อนจะย้ายไปคุมทีมปาร์มา ในอิตาลี แต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก จากนั้นจึงกลับมาอยู่กับแมนฯ ซิตี้อีกครั้ง และย้ายมาคุมเลสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาล 2023-2024 

เอ็นโซ มาเรสกา กุนซือคนใหม่ ถ่ายรูปคู่กับประธานสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้

การมาของมาเรสกา ถือว่าถูกที่ถูกเวลา เมื่อเลสเตอร์ ซิตี้ กำลังมองหากุนซือคนใหม่ที่จะสร้างอิมแพคให้เลสเตอร์ ซิตี้ กลับมามีพลังได้อีกครั้ง ขณะเดียวกัน มาเรสกาก็อยากพิสูจน์ฝีมือตัวเอง หลังจากบ่มเพาะประสบการณ์กับยอดโค้ชอย่าง เป๊บ กวาร์ดิโอลา มานาน สุดท้ายเมื่อทุกอย่างลงตัว ผลงานการเลื่อนชั้นอย่างรวดเร็วของเลสเตอร์ ซิตี้ จึงเป็นผลลัพธ์ที่ดีของทุกฝ่าย

อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้

ถึงตรงนี้ คงต้องย้อนกลับไปที่ ประโยคของ อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ที่บอกกับแฟน ๆ เมื่อวันที่ทีมตกชั้น 

"วันนี้ พวกเราทุกคนเจ็บปวดและผิดหวัง แต่พวกเราจะกลับมาอีกครั้ง” 

ไม่มีใครรู้ว่า คำมั่นสัญญานี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร แต่…ผลสุดท้าย พวกเขาก็ทำได้จริง ๆ 

การกลับมาสู่พรีเมียร์ลีกครั้งล่าสุดนี้ ทีมจิ้งจอกสยามคงพกพาประสบการณ์ในการต่อสู้มาเต็มเปี่ยม และพร้อมจะโชว์ผลงานในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลหน้าอย่างเต็มกำลัง เพื่อไม่ทำให้แฟน ๆ เลสเตอร์ ซิตี้ ผิดหวัง และไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกต่อไป

ขอบคุณภาพจาก Leicester City Football Club 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เลสเตอร์ ซิตี้จิ้งจอกสยามแชมป์เดอะแชมเปียนชิพพรีเมียร์ลีกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
สันทัด โพธิสา
ผู้เขียน: สันทัด โพธิสา

เจ้าหน้าที่เนื้อหาออนไลน์อาวุโส Thai PBS สนใจความเคลื่อนไหวของสังคม ผู้คน และเทรนด์ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ และรวมถึงเป็นสมาชิกทาสแมวมายาวนาน

บทความ NOW แนะนำ