การทำสัญญาเป็นการทำ"ธุรกิจโทรศัพท์มือถือรูปแบบใหม่" เพื่อให้บริการ 3G บนคลื่น 850 เมกกะเฮิร์ต ระหว่าง บริษัท กสท. โทรคมนาคม ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ กับกลุ่มบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น เอกชน ซึ่งการทำสัญญาที่มีรัฐวิสาหกิจเกี่ยวข้อง ทำให้ถูกหลายฝ่ายตรวจสอบ เพราะเป็นโครงการที่มีมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านบาท แต่ไม่ได้นำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี รวมถึงการพิจารณาจาก สภาพัฒน์ ตามขั้นตอน และทำให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. สอบสวนอยู่ขณะนี้
ในวันนี้ (5 เม.ย.2556) ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม หรือ บอร์ด กทค.ของกสทช. นัดประชุมวาระพิเศษ เพื่อสรุปผลสอบเรื่องนี้
ทั้งนี้มีรายงานว่าผลสอบที่ออกมาจากคณะทำงาน ที่กสทช.ตั้งขึ้น สรุปว่า การทำสัญญาณดังกล่าว เข้าข่ายมีความผิดจริง แต่เป็นการกระทำที่ไม่เจตนา
ประธานสถาบันเพื่อการวิจัยและพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ ระบุว่า หากกสทช.สรุปว่าสัญญาดังกล่าวผิดจริง แต่ไม่เจตนา ก็จะกลายเป็นการสร้างบรรทัดฐานให้คดีอื่นๆ ที่จะเกิดในอนาคต เกี่ยวกับการทำสัญญาทางโทรคมนาคม หรือกิจการกระจายเสียงได้
การทำสัญญานี้ทำให้ปีที่แล้ว บริษัท กสท.โทรคมนาคม ประกาศยุติการขยายโครงข่าย 3 จี เพื่อให้ได้ข้อยุติทางกฎหมายก่อน ขณะที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าภาคเอกชนจะมีรายได้ถึงร้อยละ 80 ในการทำสัญญา ขณะที่ บริษัท กสท.โทรคมนาคม จะสูญเสียรายได้ส่วนนี้เป็น 14 ปี