นายกฯเตรียม 4 กลยุทธ์แก้ราคาข้าวตกต่ำ จ่อทบทวนโควต้านำเข้าข้าวโพด-ข้าวสาลี

การเมือง
4 พ.ย. 59
21:00
955
Logo Thai PBS
นายกฯเตรียม 4 กลยุทธ์แก้ราคาข้าวตกต่ำ จ่อทบทวนโควต้านำเข้าข้าวโพด-ข้าวสาลี
นายกฯเดินหน้าแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำทั้งระบบ เตรียมทบทวนโควต้านำเข้าข้าวโพด-ข้าวสาลี เพื่อผลิตอาหารสัตว์ ยืนยันรัฐบาลไม่เอื้อประโยชน์นายทุน ชี้สถานการณ์เหตุรุนแรงใน จังหวัดชายแดนใต้เป็นการต่อสู้ระหว่างรัฐ-ฝ่ายรุนแรงที่หวังกดดันรัฐบาล

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน

ในวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา เป็นอีกวันสำคัญในประวัติศาสตร์โลก ที่คนไทยทุกคนจะได้จดจำนะครับ เมื่อสมัชชาสหประชาชาติ ได้จัดประชุมวาระพิเศษ เพื่อแสดงความอาลัย และสดุดี แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยเลขาธิการสหประชาชาติ และประธานกลุ่มภูมิภาคต่างๆ ของโลก ได้แก่ เอเชีย-แปซิฟิก, ยุโรป, แอฟริกา รวมทั้ง ลาตินอเมริกา และแคริบเบียน

โดยใจความสำคัญนั้น นอกจากเป็นการร่วมแสดงความเสียใจและอาลัยอย่างสุดซึ้ง ต่อพระบรมวงศานุวงศ์ รัฐบาล และปวงชนชาวไทยแล้ว ยังเป็นการกล่าวยกย่อง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก และได้รับการเคารพเทิดทูนอย่างที่สุด

ทั้งนี้เนื่องจากพระมหากรุณาธิคุณ ในการพัฒนาความเป็นอยู่ให้กับพสกนิกร ตลอดการครองราชย์ 70 ปี สะท้อนให้เห็นถึงการยึดมั่นในพระราชปณิธานที่ว่าจะ “ทรงครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม” อย่างแท้จริง

ทั้งนี้ ในเวทีพหุภาคี นานาประเทศ ล้วนยอมรับพระราชกรณียกิจ ในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งทำให้องค์การระหว่างประเทศ ต่างทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล เพื่อเฉลิมพระเกียรติ อาทิเช่น รางวัล “ความสำเร็จสูงสุด ด้านการพัฒนามนุษย์” เมื่อปี 2549 และการกำหนดให้วันคล้าย วันพระราชสมภพ คือวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็น “วันดินโลก” เมื่อปี 2557 เพื่อน้อมรำลึกถึงพระราชกรณียกิจ พระอัจริยภาพ และพระมหากรุณาธิคุณ ที่ได้ทรงศึกษาค้นคว้า วิธีการจัดการดิน และแก้ไขปัญหาทรัพยากรดินเพื่อให้เกษตรกรไทยอยู่ดีกินดี

รวมทั้งการสร้างความตระหนักรู้ ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความสำคัญของดินต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อันเป็นการเสริมสร้างแนวทางการดำเนินงาน ที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน อีกด้วย


ผมเห็นว่า การประชุมสมัชชาสหประชาชาติ วาระพิเศษ ในครั้งนี้ เป็นสิ่งยืนยันสัจธรรมสำคัญ อันเป็นคำสอนของพ่อหลวงในการ “ปิดทองหลังพระ” ว่า ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า ไม่มีใครปิดทองข้างหลังพระเลย พระจะเป็นพระที่งดงามบริบูรณ์ไม่ได้ และที่สำคัญ เมื่อปิดทองข้างหลังพระไปเรื่อยๆ แล้ว ทองจะล้นออกมาที่หน้าพระเอง

ดังนั้น “วันที่ 28 ตุลาคม” จึงเป็นวันที่ประจักษ์ แก่สายตาชาวโลกแล้วว่า “ศาสตร์พระราชา” ของพ่อหลวงไทยในทุกแขนง ไม่เพียงแต่เพื่อการอยู่ดี มีสุข ของพสกนิกรชาวไทยเท่านั้น หากแต่ล้วนนำมาซึ่งแนวทาง ความคิด และปรัชญาในการพัฒนาที่ยั่งยืน อันเป็นคุณูปการ แก่มวลมนุษยชาติ โดยรวม จนได้รับการยกย่องอย่างสูงสุด จากประชาคมโลก ในวันนี้


ด้วยสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ และน้อมรําลึกในพระปรีชาสามารถ และพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ต่อการวิจัยและพัฒนาข้าวไทยเป็นอเนกประการ รวมทั้ง เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสครบรอบ 100 ปี งานวิจัยข้าวไทย ในปี 2559 นี้ คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยเห็นชอบให้เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เป็น “พระบิดาแห่งการวิจัยและพัฒนาข้าวไทย”


ด้วยทรงมีพระราชดำริ และทรงดำเนิน การเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาข้าว ในโครงการส่วนพระองค์ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางอาหาร เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม แก่พสกนิกรที่ประกอบอาชีพทำนา, ทรงคิดวิธีเกษตรทฤษฎีใหม่ อาทิ การทำนาขั้นบันได โครงการฝนหลวง การแกล้งดินเพื่อแก้ปัญหาดินเปรี้ยว และทรงเป็นองค์อุปถัมภ์องค์กรวิจัยและพัฒนาข้าว ทั้งในและต่างประเทศ ให้แก่ “มูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์” เป็นต้นนะครับ


อย่างไรก็ตาม นับแต่ในอดีต จนถึงปัจจุบัน เกษตรกรชาวนายังคงประสบปัญหาราคาข้าวตกต่ำบ่อยครั้ง ส่วนใหญ่เป็นปัญหาในเชิงโครงสร้าง อาทิเช่น ปริมาณผลผลิตที่มากเกินความต้องการของตลาด, การถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง, มีต้นทุนการผลิตที่สูงมีคุณภาพที่ต่ำ, มีภัยพิบัติทางธรรมชาติ น้ำท่วม น้ำแล้ง, การปลูกข้าวในพื้นที่ไม่เหมาะสมนั้นเป็นเหตุผลหนึ่งนะครับที่อาจจะทำให้ได้ข้าวคุณภาพต่ำ, ข้าวที่มีความชื้นสูง,

อีกทั้งการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ก็คือทำนาข้าวแต่เพียงอย่างเดียวนั้น อาจจะไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพในปัจจุบันนะครับ เหล่านี้เป็นต้น รวมถึงให้มีการรวมกลุ่มเกษตรกรที่ยังไม่เข้มแข็งนัก ทำให้ขาดอำนาจในการต่อรองกับโรงสีและพ่อค้าคนกลาง ขาดการคิดค้นผลิตนวัตกรรมข้าวนะครับในการเพิ่มมูลค่า ให้กับผลผลิตข้าว ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ จะส่งผลให้รายได้ของชาวนาไม่มั่นคง ตลอดจนต้องกู้หนี้ยืมสิน ตั้งแต่เริ่มกระบวนการปลูกข้าว จนถึงการเก็บเกี่ยว ทำให้ชักหน้าไม่ถึงหลัง ถึงขั้นต้องขายที่นา และหลายครอบครัวต้องละทิ้งอาชีพชาวนา ในที่สุดเป็นอันตรายนะครับ


ทุกแนวทางการแก้ปัญหาแก่ชาวนาไทย ทั้งมาตรการเฉพาะหน้า และมาตรการยั่งยืน ของรัฐบาลนี้ ได้น้อมนำ “ศาสตร์พระราชา” อันเป็น 1 ในหลักการทรงงาน ก็คือ “การศึกษาอย่างเป็นระบบ”


ตั้งแต่ “ต้นทาง” เช่น ที่ดิน แหล่งน้ำ ลมฟ้าอากาศ องค์ความรู้ ปัจจัยการผลิต เมล็ดพันธุ์ ยากำจัดศัตรูพืช และปุ๋ย เป็นต้น


“กลางทาง” เช่น แหล่งทุน เครื่องจักรกลการเกษตร โรงสี การแปรรูป และนวัตกรรม
“ปลายทาง” เช่น ตลาดในประเทศ การส่งออกต่างประเทศ เราต้องทำให้เกิดห่วงโซ่คุณค่าเหล่านี้ และมีการประกันพืชผล เหล่านี้เป็นต้นนะครับ


ทั้งนี้ย่อมต้องอาศัยข้อมูลพื้นฐาน จากเอกสาร งานวิจัยต่างๆ แผนที่ การสอบถามจากเจ้าหน้าที่ นักวิชาการ และสอบถามจากราษฎรในแต่ละท้องถิ่น เพื่อรัฐบาลจะได้รายละเอียดที่ถูกต้อง สำหรับกำหนดมาตรการช่วยเหลือ ได้อย่างแม่นยำ รวดเร็วและสอดคล้องกับสภาพภูมิศาสตร์สังคม รวมทั้ง ปรับปรุงแก้ไขกรณีศึกษา เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด ไม่ให้ซ้ำรอยนโยบายในอดีตที่ผ่านมานะครับ

สำหรับในเรื่องของการแก้ไขปัญหาระยะสั้น ยังคงมีความจำเป็น เนื่องจากช่วยแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ให้ชาวนากินอิ่ม นอนหลับ มีทุน มีแรงทำงานให้ได้ก่อน แล้วสร้างความเข้มแข็ง อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ต่อไป ซึ่งปัจจุบัน รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญอย่างมาก กับการแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ โดยมีมติเห็นชอบ มาตรการช่วยเหลือเกษตรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2559 - 2560 ในด้านการตลาด ตามที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) เสนอมา ได้แก่


(1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2559 ถึง 60 ซึ่งกำหนดวงเงินสินเชื่อต่อตันข้าวเปลือก ไม่เกินร้อยละ 90 ของราคาตลาด โดยเฉลี่ย

(2) ค่าใช้จ่ายในการตากข้าวเปลือก และค่าแรงงานในการเตรียมข้าวเปลือกเข้าร่วมโครงการ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร, สหกรณ์การเกษตร, กลุ่มเกษตรกร รวมทั้งวิสาหกิจชุมชน และ

(3) การช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ให้แก่เกษตรกรรายย่อย ผู้ปลูกข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต 2559 - 60


โดยมีกรอบระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2559 - 28 กุมภาพันธ์ 2560
แนวทางหนึ่ง ในการแก้ปัญหาราคาข้าวตกนั้น ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระราชทานไว้ ได้แก่ การรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มผู้บริโภคเหมือนกัน แล้วก็ไปติดต่อกับกลุ่มผู้ผลิต โดยที่ไปตกลงกัน อาจจะต้องตั้งหรือไปตกลงกับโรงสีให้แน่ชัดนะครับ จะได้ไม่ต้องผ่านหลายมือ ถ้าทุกคนที่บริโภคข้าวตั้งตัวเป็นกลุ่มแล้ว ก็ไปซื้อข้าวเปลือก แล้วไปพยายามสีเองนะครับ หรือให้มีการผ่านมือเพียงผู้ที่ผลิตข้าว ผู้ที่สี และผู้ที่บริโภค ทั้งนี้ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะสามารถตัดปัญหาคนกลางลงไปได้บ้างนะครับ คงไม่ได้ทั้งหมดหรอกนะครับ


ผมขอชื่นชมความคิดริเริ่ม “โครงการลองกอง จังหวัดสุราษฎร์ธานีแลกข้าวสารหอมมะลิจังหวัดร้อยเอ็ด” นับเป็นการดำเนินงานในลักษณะ “ประชารัฐ” นะครับ เป็นโครงการที่ดีที่หลายฝ่าย ร่วมมือกัน ร่วมแก้ปัญหา ด้วยการแลกเปลี่ยนผลผลิตโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางนะครับ สามารถจะแลกเปลี่ยนผลิตผลทางการเกษตร หรืออื่นๆ ข้ามภูมิภาค เหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ได้นะครับ จะเป็นการช่วยเหลือตัวเองก่อน แล้วจะได้ไม่ต้องรอแต่การช่วยเหลือจากภาครัฐนะครับ จากภายนอก เพราะว่าต้องใช้เวลานะครับในการแก้ปัญหา กำหนดมาตรการต่างๆ เพราะว่าต้องใช้กฎหมายด้วยนะครับ


เพราะฉะนั้นจากการรวมกลุ่มของเกษตรกรที่เข้มแข็งนั้น เราน่าจะสามารถกระทำได้ตลอดเวลานะครับ การสร้างห่วงโซ่คุณค่านะครับ ที่ผมเรียนไปแล้ว ทั้งผลิต แปรรูป และการตลาด ย่อมเป็นสิ่งพึงประสงค์ ทั้งนี้เพื่อเป็นการกระจายสินค้าสู่ตลาดต่างภูมิภาค ให้เกิดกลไกที่ยั่งยืนได้ในอนาคตนะครับ รัฐบาลก็จะหาช่องทางเข้าไปส่งเสริมสนับสนุนได้นะครับ ในช่องทางที่ถูกต้อง ง่ายขึ้นนะครับ

ขอให้เรามีการจัดระบบ, จัดกลไกการทำงานร่วมกันนะครับ จัดปฏิทินการแลกเปลี่ยนตามฤดูผลผลิต และจัดจุดแลกเปลี่ยน จุดกระจายสินค้าที่แน่นอนนะครับ ทางรัฐบาล และราชการก็เข้าไปดูแลด้วย เหล่านี้เป็นต้นนะครับ


ผมขอขอบคุณหลายๆ หน่วยงานนะครับ ที่ออกมาตรการแก้ปัญหา หรือมีส่วนร่วมในการเอาชนะปัญหาราคาผลิตผลทางการเกษตรตกต่ำ อาทิเช่นกระทรวงแรงงาน เตรียมรวบรวมตำแหน่งงานว่างในแต่ละจังหวัดนะครับ สำหรับเกษตรกรที่สนใจทำอาชีพเสริมช่วงว่างเว้นจากการทำนา มีการจัดหลักสูตรการฝึกทักษะอาชีพเพื่อเพิ่มโอกาสการสร้างรายได้รวมทั้งการอบรมเทคนิคการค้าขายแบบออนไลน์ เพื่อสามารถจำหน่ายสินค้าได้ด้วยตนเอง


นอกจากนั้นขอขอบคุณ สถานประกอบการต่างๆ เช่น ปั๊ม ปตท. และบางจาก ทั่วประเทศนะครับ ในการเตรียมพื้นที่ให้ชาวนาสามารถนำข้าวสารมาขาย โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อให้เกษตรกรและประชาชนสามารถซื้อขายข้าวสารได้สะดวกยิ่งขึ้นนะครับ
สำหรับการสร้างความยั่งยืนให้แก่ชาวนาในระยะยาวนั้น รัฐบาล ได้มีมาตรการช่วยเหลือชาวนาทั้งระบบ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยการปรับกระบวนทัศน์สำหรับอนาคตข้าวไทย เราจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านตลาด ได้แก่


(1) ใช้การตลาดนำการผลิต หรือให้ความต้องการ (อุปสงค์ข้าว) นั้นเป็นตัวตั้ง นะครับ

(2) มีการจำแนกแผนการส่งเสริมข้าวและการกำหนดมาตรฐานตามประเภทของข้าว

(3) มีการปรับโครงสร้างการปลูกและผลิตข้าวครบวงจร ตั้งแต่การสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ดี, การช่วยเหลือต้นทุนการผลิต, การพักชำระหนี้ของชาวนา,การประกันภัยข้าวนาปี, การสนับสนุนการรวมกลุ่มของชาวนาเกษตรแปลงใหญ่นะครับเพื่อปลูกข้าวแปลงใหญ่, การอบรมให้ความรู้ทั้งด้านความเข้าใจเรื่องต้นทุนการผลิตและการตลาด และจัดให้มีโครงการฝึกอบรมในโครงการต่างๆ เพื่อให้ความรู้เพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนหรือปลูกพืชอื่นเสริมนอกเหนือจากการปลูกข้าว สำหรับพื้นที่ที่ไม่เหมาะกับการทำนา เพื่อขายนะครับ รวมถึง


(4) การสร้างความเป็นธรรมให้แก่ชาวนาในกระบวนการผลิตและค้าข้าว ด้วยอาศัยกลไกประชารัฐ อาทิเช่น การปรับปรุงกฎระเบียบและวิธีการ เป็นต้น
ทั้งนี้ รัฐบาลได้กำหนดแผนงานสำหรับให้การสนับสนุนชาวนาในแต่ละช่วงเวลาของวงจรข้าว สรุปได้ดังนี้ การผลิต และการจัดทำการตลาดให้กับสินค้าข้าว สรุปได้ดังนี้
ช่วงการผลิต ประกอบด้วย 10 แผนงาน ได้แก่

(1) การวางแผนการเพาะปลูกข้าว

(2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกร

(3) การจัดการปัจจัยการผลิต

(4) การลดต้นทุนการผลิตข้าว

(5) การประกันภัยพืชผล

(6) การให้สินเชื่อ

(7) การทำไร่นาสวนผสม

(8) การวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าว

(9) การพัฒนาชาวนารุ่นใหม่ และ

(10) การส่งเสริมเกษตรกรเพื่อการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน

ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังการเก็บเกี่ยว จะประกอบด้วย 3 แผนงาน อันได้แก่

(1)การสนับสนุนและบริหารจัดการเครื่องจักรกลทางการเกษตร

(2)การเพิ่มประสิทธิภาพและมาตรฐานโรงสี และ

(3)การพัฒนาส่งเสริมการผลิตข้าวคุณภาพครบวงจรเพื่อเพิ่มมูลค่า
รวมทั้งการจัดทำการตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ ประกอบด้วย 10 แผนงาน ได้แก่


- มาตรการชะลอผลผลิตออกสู่ตลาด
- มาตรการสร้างความเป็นธรรมทางการค้า
- การจัดทำและทบทวนมาตรฐานข้าว
- การวิจัยและพัฒนา
- การพัฒนาตลาดสินค้าข้าวที่มีศักยภาพด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่ม และ
- การเจรจาตลาดต่างประเทศ ในลักษณะ G to G
- การขยายตลาดข้าวที่มีคุณลักษณะเฉพาะ เป็นต้น นะครับ


ทั้งนี้ต้องขอบคุณ โรงสีและพ่อค้าคนกลางที่ร่วมมืกับรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชนอย่างแท้จริง รัฐบาลไม่ได้มุ่งหวังจะทำลายการผลิตข้าว การปลูกข้าว ของเกษตรกร ทำลายวิถีชีวิตชาวนา ที่พวกเราทำมา ตั้งแต่โบราณกาล แต่อย่างใด เราเพียงมุ่งหวังจะทำให้ชาวนา มีชีวิตความเป็นอยู่ ที่ดีขึ้น อย่างยั่งยืน

ปัญหาที่รัฐบาลพบ และเป็นปัญหาสำคัญ วันนี้ การทำนาส่วนใหญ่นั้น เหลือแต่พ่อแม่ ผู้สูงอายุ ลูกหลานส่วนใหญ่นั้น จะไปประกอบอาชีพอื่น การใช้แรงงานคนจึงลดลง ใช้การจ้าง ใช้เครื่องจักร ตั้งแต่การไถ หว่าน ใส่ปุ๋ย เก็บเกี่ยว “ทุกขั้นตอน” ขณะเดียวกัน หนี้สินเก่า ก็ทับถม ทำให้เหมือนกับว่าเป็นการ “ทำนาเพื่อใช้หนี้” มาตลอดเวลา ไม่มีรายได้เพิ่ม นะครับ

รัฐบาลมองเห็นปัญหาตรงนี้ จึงได้เกิดความคิดแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ครบวงจร ตั้งแต่การปลูก การแปรรูป,การตลาด รัฐบาลจำเป็นต้องมีหลายมาตรการ นะครับ ทั้งชดเชยส่วนต่างบ้าง ช่วยเหลือยามเดือดร้อน จากภัยธรรมชาติ หรืออื่นๆ บ้าง เท่าที่จำเป็น แต่ทั้งนี้ต้องไม่ผิดกฎหมาย ไม่เป็นปัญหากับระบบการเงิน-การคลังของประเทศ

อีกส่วนหนึ่ง ก็ต้องมาดูว่า เราจะแก้ปัญหาหนี้สินชาวนา ได้อย่างไร เราได้พิจารณาในเรื่องของการชะลอหนี้ หรือ ลดดอกเบี้ย เราก็จะพิจารณาเท่าที่สามารถทำได้ โดยไม่ให้เสียกฎกติกาต่างๆ ของธนาคารเขานะครับ


สิ่งสำคัญก็คือ เราจะทำอย่างไร ที่จะทำให้การทำการเกษตร ทุกอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นข้าว ยาง,มันสำปะหลัง ,ปาล์ม,อ้อย ,ข้าวโพด นะครับ ได้มีการปรับระบบการผลิต การแปรรูปใหม่ ให้ใช้ต้นทุนการผลิตให้น้อยลง ใช้น้ำให้น้อยลง เหมาะสมกับพื้นที่ แล้วก็ผลิตไม่เกินความต้องการของตลาด ทั้งในประเทศและต่างประเทศ


ก็มีวิธีที่หลายประเทศทำแล้วได้ผล ก็คือ “การรวมแปลงใหญ่” เพื่อการบริหารจัดการ สามารถจะ “เพิ่ม - ลด” ดีมานด์- ซับพลายได้ นะครับ ปรับปรุงดิน คุณภาพข้าวได้ ลดต้นทุนการผลิตได้ เรื่องน้ำ ก็นับว่ามีความสำคัญ มากที่สุดนะครับ กับพืชทุกชนิด
ที่ผ่านมานั้น มักจะไม่ค่อยให้ความสำคัญ กันทั้งระบบ นะครับ

เป็นการแก้ปัญหาแต่ปลายทาง ปลายเหตุส่วนใหญ่ น้ำน้อย ก็ต้องการให้จัดหาน้ำให้มากขึ้น บางอย่างก็เป็นไปไม่ได้ นะครับ น้ำมาก-น้ำท่วม เราก็แก้ไขได้ยาก นะครับ เพราะหลายอย่างนั้นเกิดจากธรรมชาติ บางอย่าง เกิดจากน้ำมือมนุษย์ บางอย่างก็เกิดจากความไม่เข้าใจ ทำไม่ได้นะครับ เพราะประชาชนไม่เห็นด้วย อันนี้เป็นเรื่องสำคัญนะครับ


เช่น การจัดทำแหล่งกักเก็บน้ำในพื้นที่ เพื่อจะทำให้เกิดการระบายน้ำให้สะดวกรวดเร็ว การทำอะไรใหม่ๆ นั้นเราต้องช่วยกันคิดนะครับ หลายคนยังขาดความเข้าใจ มีการบิดเบือนอยู่บ้าง หากทุกคนไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลง แต่ต้องการชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นนั้น เราก็ทำได้ลำบากนะครับ บรรดากลุ่ม NGO นะครับขอร้องอย่ามองด้านเดียว ตามหน้าที่ของตน ทุกคนควรมุ่งเน้นการแก้ปัญหา อย่างเกื้อกูลกัน


รัฐบาลไม่เคยคิดจะบังคับชาวนา เกษตรกร นอกจากพยายามสร้างความเข้าใจ รักษาอาชีพนี้ให้ยั่งยืนนะครับ เราจะติดกับ กับวิธีคิดแบบเดิมๆ หรือการแก้ปัญหาแบบเดิมๆไม่ได้อีกแล้วนะครับ การค้าขาย การส่งออก ไปยังตลาดต่างประเทศ ก็เป็นปัญหาในการแข่งขันด้านราคา รัฐบาลซื้อมาเก็บเอง ก็ไม่ได้ นะครับ ปัญหาเดิมยังมีอยู่


การระบายข้าวในคลัง ก็เป็นปัญหากับข้าวฤดูกาลใหม่ อาจทำให้ราคาข้าวในท้องตลาดตกไปอีกนะครับ เพราะเรามีปริมาณสำรองข้าว มากเกินไป วันนี้ก็มีเกือบทุกประเทศ นะครับ มีการสำรองข้าวด้วยตัวเอง อันเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ราคานั้นถูกกดให้ต่ำลง จนแข่งขันผู้ผลิตข้าวรายอื่นๆ ของโลก ไม่ได้มากนัก นะครับ แม้ว่าข้าวของเรานั้นจะมีคุณภาพดีกว่าก็ตาม


สำหรับมาตรการสร้างแรงจูงใจให้มีการปรับเปลี่ยน การปลูกพืชให้เหมาะสมกับพื้นที่น้ำเป็นสิ่งสำคัญ ตามที่เราได้จัดทำแผนที่การเกษตร ที่เรียกว่า Agri Map ไปแล้ว ขั้นต้นจะทำให้เรารู้ปริมาณน้ำที่จะต้องใช้, การจัดระเบียบการปลูกก่อน หรือ หลัง ให้มันแลปกัน มันจะได้ไม่ออกมาในช่วงเวลาเดียวกันนะครับ ราคามันก็ตก เพราะปริมาณมากเกินไป ,การทำไร่นาสวนผสม การปลูกพืชหลายชนิด, ลดการปลูกในฤดูน้ำมาก ไปทำอาชีพอื่นบ้าง นะครับอาชีพเสริมโดยหันไปปลูกพืชชนิดอื่นบ้าง


ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น รัฐบาลไม่เคยคิดว่าเราจะจ้างให้ชาวนาเลิกปลูกข้าว มันเป็นไปไม่ได้นะครับ เรามีชาวนาเป็นจำนวนมาก มีแต่ว่าจะทำยังไงให้เขาปลูกให้เหนื่อยน้อยลง และมีรายได้มากขึ้น เพียงแต่เราก็ให้ทุนนะครับ ในการปลูกพืชชนิดอื่นเสริม ดูว่าจะได้ผลดี มีรายได้มากขึ้น หรือไม่ ก็แล้วแต่ความสมัครใจของท่านนะครับ


สำหรับการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ในช่วงที่เรายังมีหนี้สินนั้น ก็เป็นสิ่งสำคัญนะครับ เราต้องลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลง แล้วก็เก็บเงินทยอยใช้หนี้บ้าง นะครับ ซึ่งบรรดานายทุนให้กู้เงิน ให้เช่านา โรงสี นะครับ ก็ควรจะร่วมมือช่วยกัน เสียสละกันบ้างในเวลานี้ นะครับเพื่อประเทศชาติ เพื่อประชาชน และเกษตรกร


มิฉะนั้นแล้วทุกอย่าง มันก็จะกลายเป็นปัญหาการเมือง ไปเสียทั้งหมด นะครับ หลายอย่าง ที่ผ่านมาไม่ใช่การเมือง นะครับ อะไรที่เป็นการทำถูกหรือผิดกฎหมาย ก็ไปว่ากันมา หลายอย่างที่เราแก้ที่ปลายเหตุ โดยใช้เงินแก้ปัญหาอย่างเดียว มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว นะครับ ถ้าเราไม่รู้จักหาเงิน ไม่เปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจเราใหม่ มันไม่มีเงินมากขึ้นแน่นอนนะครับ

เราจำเป็นต้องแก้ตั้งแต่ต้นทาง ตั้งแต่เกษตรกร พ่อค้าคนกลาง โรงสี เพื่อไปสู่การแข่งขันตลาดต่างประเทศ และอื่นๆ อีกมากมาย นั้นคือเหตุผลที่รัฐบาลต้องพิจารณาหลายด้าน นะครับ ใช้เวลาในการตัดสินใจ ก็ขอให้ทุกคนพยายามเข้าใจบ้างนะครับ ผมเข้าใจความเดือดร้อนของทุกท่านดี


สำหรับพืชชนิดอื่นๆ อาทิเช่น ข้าวขาวก็กำลังพิจารณาอยู่ ข้าวโพด ก็กำลังเป็นปัญหาสำคัญ ก็กำลังให้ฝ่ายเศรษฐกิจพิจารณาร่วมกันเพื่อหาวิธีการแก้ปัญหานะครับ อย่าเพิ่งเรียกร้องอะไรช่วงนี้นะครับ ทราบดีว่าปัญหาท่านอยู่ที่ไหน นะครับ

วันนี้ข้าวโพดนั้นก็เป็นปัญหาสำคัญ อีกอันนึง นะครับ ที่ใช้ผลิต เพื่อการบริโภคด้วยนะครับ และเพื่อในการทำอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ มันจะเกี่ยวพันไปถึงการนำเข้าข้าวโพด วันนี้เรายังผลิตไม่เพียงพอนะครับและก็เราไม่สามารถจะปล่อยปละละเลยให้ปลูก ในพื้นที่ที่ไม่ถูกต้องได้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมีการนำเข้านะครับ

วันนี้เราก็ขอความร่วมมือจากบริษัทนะครับ ว่าไม่ให้ซื้อของในพื้นที่ที่ผิดกฎหมาย หรือบนป่าเขาซึ่งเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม มายาวนาน นะครับ ทั้งนี้อย่างที่เรียนไปแล้ว ได้ขอความร่วมมือบริษัทขนาดใหญ่ นะครับ ให้มารับซื้อจากแหล่งผลิต ซึ่งมีแหล่งที่มาที่ชัดเจน มีการตรวจสอบ DNA นะครับ ผมไม่ใช่ว่าต้องการให้เขามาผูกขาด


อีกประการก็คือ การทำอาหารสัตว์นั้น เมื่อข้าวโพดน้อย ปลูกไม่พอ ปลูกในพื้นที่ผิดกฎหมาย ซื้อขายไม่ได้ ก็ต้องนำเข้าเพิ่ม รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ นะครับกำลังพยายามหาทางออก หามาตรการที่สามารถทำได้ โดยทั้งนี้ ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและพันธสัญญาระหว่างประเทศ นะครับ ที่เราจะต้องมีการค้าต่างตอบแทนอีกด้วย ประเทศเพื่อนบ้าน หรือประเทศคู่ค้าต่างๆเหล่านั้น ไม่ใช่มองว่า รัฐบาลจะเอื้อประโยชน์แก่นายทุน หรือ ผูกขาดให้กับใคร เพราะรัฐบาลนี้ มาเพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้น ให้ประชาชนมีทางเลือกด้วยตนเอง มีโอกาสมากขึ้น

เพราะฉะนั้นบริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์ ก็ต้องขอร้องนะครับ ว่าวันนี้ที่ท่านจำเป็นต้องใช้ข้าวสาลี มาผสมด้วยเพราะว่าราคาถูกกว่า ต้นทุนถูกกว่า ข้าวโพดก็ไม่เพียงพอนะครับ รัฐบาลก็อาจจะต้องจำเป็นทบทวน ทั้งโควต้าการนำเข้าข้าวโพด ข้าวสาลี ทั้งระบบ นะครับ ระบบภาษีต่างๆ อีกด้วย ว่าจะทำได้มากแค่ไหน ขอความร่วมมือไว้ก่อนนะครับ


สำหรับการปลูกข้าวโพด ในพื้นที่ที่เหมาะสม นั้นก็ยังมีความจำเป็น เพราะว่าในเมื่อเราลดพื้นที่ปลูก ในพื้นที่ไม่ถูกต้อง มันก็ต้องหาพื้นที่ปลูกใหม่เพราะเราขาดแคลน ข้าวโพดนะครับ ไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้นอาจจะต้องไปทดแทนในพื้นที่ที่ปลูกข้าวแล้วไม่ได้ผล ไม่มีคุณภาพ เหล่านี้บ้าง นะครับ ไม่ใช่หมายความว่าทั้งหมดนะครับ ก็แล้วแต่ประชาชนจะร่วมมือนะครับ เพราะว่าเท่าที่ตรวจสอบแล้ว มันมีการใช้งบประมาณหรือต้นทุในการปลูกต่ำกว่าข้าวนะครับ ซึ่งเราก็คงต้องส่งเสริมเรื่องเหล่านี้อยู่ด้วยนะครับไปพร้อมๆ กัน


เหล่านี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องทำอย่างรอบคอบ ทั้งด้านอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในประเทศ พันธสัญญาต่างประเทศ เพื่อนบ้าน การค้าต่างตอบแทน แล้วก็ชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตร หลายคนหลายท่านอาจไม่เข้าใจ ไม่พอใจ เพราะทุกคนปลูกต่างต้องการราคาสูง ไม่เข้าใจกลไก หรือ ระบบทั้งหมด


รัฐบาลทราบดีนะครับ เพราะว่าไม่ได้คิดเอง ก็เอาเอกสารเอาการวิจัย แล้วก็ตรวจสอบจากผู้ผลิตโดยตรง เกษตรกรโดยตรง ทั้งมหาดไทย ทั้งกระทรวงเกษตร ทั้งกระทรวงพาณิชย์ ต่างๆ เขาลงพื้นที่กันหมดนะครับ ฉะนั้นผมไม่อยากให้เป็นช่องทางให้ การเมือง หรือปัญหาการเมืองเข้ามาแทรกแซง บิดเบือนได้อีกนะครับ เราอาจจะทำ หรืออาจจะ คิดอย่างเดิมไม่ได้ อีกต่อไป จากวันนี้เป็นต้นไปนะครับ แต่ทำอย่างไรเราจะไม่ทำลายเอกลักษณ์ของประเทศไทย แล้วก็คนไทยในการทำการเกษตร ทุกชนิดนะครับ เพียงแต่ว่าทำอย่างไรให้มันมีรายได้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพนะครับ


เรื่องที่สำคัญที่สุดอีกเรื่อง คือ การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งยังคงมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นอยู่ ถึงแม้จะน้อยลงหรือมากขึ้นบ้างในบางช่วงเวลา แต่ก็เป็นขั้นตอน ของการพัฒนาของสถานการณ์นะครับทั้งของฝ่ายรัฐ และฝ่ายผู้กระทำ เป็นการต่อสู้กัน ระหว่างการพัฒนา การบังคับใช้กฎหมายปกติ ของรัฐบาล กับฝ่ายที่ใช้ความรุนแรงเพื่อกดดันรัฐบาลนะครับ หวังเพื่อให้ส่งผลกระทบในประเทศ และต่างประเทศ เราจะต้องไม่ตกเป็นเหยื่อของการกระทำรุนแรงดังกล่าวนะครับ ก็ขอความกรุณาขอร้องสื่อให้ช่วยกันด้วย ขอให้ท่านทำความเข้าใจกันแบบนี้นะครับ

ปัจจุบันนั้น รัฐบาลไม่ได้แก้ปัญหาด้วยการทหารนะครับหลายคนก็วิพากษ์วิจารณ์ ทหารที่ลงไปนั้นเนื่องจากว่าทหารในพื้นที่หรือตำรวจในพื้นที่นั้นไม่เพียงพอ เพราะเป็นสถานการณ์ไม่ปกตินะครับ เมื่อสถานการณ์เบาลงหรือยุติลงได้

ทหารที่อยู่นอกพื้นที่ก็ต้องกลับทั้งหมดอยู่แล้วนะครับ ในพื้นที่ก็สามารถดูแลได้เอง เพราะฉะนั้นเราอาศัยกฎหมายพิเศษเท่านั้นเพียงอย่างเดียวนะครับ ก็เพื่อปกป้องคนบริสุทธิ์นะครับ แล้วก็นำคนผิดมาลงโทษตามกฎหมายตามกฎหมายให้ทันเวลาเท่านั้น ไม่งั้นมันก็ต้องใช้กฎหมายปกติเพียงอย่างเดียวเพราะว่าจะดำเนินการได้ยาก แต่ต้องเป็นธรรมนะครับ ผมให้ตรวจสอบทุกครั้ง


รัฐบาลมุ่งเน้น แก้ปัญหาด้วยการพัฒนา การสร้างความเข้าใจ การสร้างความร่วมมือ กับคนทุกกลุ่ม แม้กระทั่งกลุ่มเห็นต่าง กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง แม้กระทั่งต่างประเทศนะครับ ผมก็อยากให้พวกเรา คนไทย ทั้งพุทธและมุสลิม ต้องช่วยกัน อย่าให้เกิดความบาดหมาง ไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน

การแก้ปัญหาจะไม่สำเร็จนะครับ ก็ขอให้พวกเราได้ช่วยกัน พยายามต่อไปครับนะครับ เจ้าหน้าที่ก็พยายามอย่างเต็มที่นะครับ ก็มีการสูญเสียเช่นเดียวกันนะครับ ขณะนี้ทางท่านจุฬาราชมนตรี ก็ได้ร่วมมือกับทางรัฐบาลอย่างดียิ่งในการร่วมมือกับทางรัฐบาลอย่างดียิ่งนะครับในการร่วมมือกันแก้ปัญหานี้ ก็ขอขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

การ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” เป็น “ศาสตร์พระราชา” ที่สำคัญอย่างมาก อันจะเป็นซึ่งพื้นฐานการสนับสนุนการเดินหน้าประเทศ ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งก็จะมีทั้งการวางรากฐานเพื่ออนาคต และการปฏิรูปเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนนะครับ และก็จะมีการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นมายาวนานไปด้วยพร้อมๆกัน เพราะฉะนั้นการดำเนินการใดๆ ของรัฐบาลนั้นจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากประชาชน จากทุกฝ่าย ทุกภาคส่วน

วันนี้ขอชมเฉยหลายๆพื้นที่ ก็มีการหารือกันในลักษณะของประชาคมนะครับ ก็สามารถที่จะเป็นช่องทางที่เชื่อมต่อกับรัฐบาลได้โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทยนะครับ ขอขอบคุณมาก

แรงสนับสนุนจะเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยความเข้าใจและเข้าถึง ด้วยการเข้าใจเห็นใจซึ่งกันและกัน เป็น “การสื่อสารสองทาง” เราจึงจะสามารถแปลงพลังต่อต้าน ให้เป็นพลังขับเคลื่อน แปลงความนิ่งเฉย เป็นพลังเสริม แล้วเข้ามาร่วมมือกันพัฒนาในรูปแบบ “ประชารัฐ” ของรัฐบาลนี้นะครับ ด้วยการยึดถือศาสตร์พระราชานี้ร่วมกันนะครับ เพราะทำให้ทั้งผมทั้งท่านไม่ละความเพียรพยายามที่จะช่วยกันทำให้พี่น้องประชาชนอื่นๆ ทุกคน ได้ตระหนัก ได้รับรู้ และหวังที่จะได้ความร่วมมือกลับคืนมา ไม่ใช่เพื่อผม ไม่ใช่เพื่อท่านเพียงเท่านั้น แต่เพื่อประเทศชาติ เพื่อลูกหลานในอนาคต และที่สำคัญก็คือ เพื่อสานต่อพระราชปณิธานของพ่อหลวงของพวกเราทุกคน


หลายเรื่องนะครับที่ทุกคนควรมีความเข้าใจเป็นพื้นฐาน ก็คือ ระยะเวลาการทำงานของแต่ละรัฐบาล ไม่เกิน 4 ปีนะครับ หากรัฐบาลไม่มีเสถียรภาพแล้ว การบริหารราชการแผ่นดิน การพัฒนาประเทศ ก็ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มศักยภาพ เนื่องจากไม่มีความต่อเนื่องนะครับ จึงเป็นที่มาของความพยายามในการผลักดันให้ประเทศไทย ได้มี “ยุทธศาสตร์ชาติ” ระยะ 20 ปี ที่ครอบคลุมทุกมิติของการบริหารประเทศของทุกรัฐบาลนะครับ แต่ไม่ก้าวก่ายอำนาจในทางบริหารนะครับ

โดยผลการดำเนินงานของรัฐบาล กว่า 2 ปีที่ผ่านมานั้น ย่อมเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า การบริหารราชการแผ่นดิน ภายใต้ความมีเสถียรภาพทางการเมืองนะครับ บ้านเมืองปลอดภัยสงบสุข ทำให้การเดินหน้าประเทศนั้น แล้วก็การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศนั้น ได้เดินหน้าต่อไป และได้ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเป็นไปตามขึ้นตอนนั้นครับ เราไม่สามารถแก้ไขทุกอย่างได้ด้วยเวลาอันสั้นได้เพราะปัญหามันยาวนาน

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกที่ยังคงชะลอตัว อาจจะทำให้การส่งออก ซึ่งเคยเป็นรายได้ ร้อยละ 70 ของ GDP ของประเทศเรานะครับ ไม่สามารถรักษาระดับเดิมไว้ได้ เนื่องจากประเทศคู่ค้า ไม่มีกำลังซื้อ ต่างเอาตัวรอด ประคองตัวเองบ้าง ภารกิจของรัฐบาลชุดนี้มี 2 อย่าง หลักๆก็คือ


(1) รักษาเศรษฐกิจในประเทศไม่ให้ทรุด เพราะว่าเศรษฐกิจโลกไม่ดี ไม่ปล่อยให้ชาวบ้านเดือดร้อน อาจจะต้องมีเดือด ร้อนอยู่บ้างนะครับ ก็พยายามแก้ไปเรื่อยๆ นะครับ ช่วยกันเดียวก็แก้ได้เอง


(2) ต้องพยายามสร้างความเติบโตภายใน โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานราก ด้วย “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ดังพระราชดำรัสที่ว่า “เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเสมือนรากฐานของชีวิต รากฐานความมั่นคงของแผ่นดิน เปรียบเสมือน “เสาเข็ม” ที่ถูกตอกรองรับบ้านเรือน ตัวอาคารไว้ สิ่งก่อสร้างจะมั่นคงได้ก็อยู่ที่เสาเข็ม แต่คนส่วนมากมองไม่เห็นเสาเข็มนะครับ และลืมเสาเข็มเสียด้วยซ้ำไป”

วันนี้ประชาชนแล้วก็เกษตรกรนะครับ ก็ถือว่าเป็นเสาเข็มส่วนหนึ่ง ที่จะต้องทำให้บ้านเรือนของเราก็คือประเทศไทยนั้นแข็งแรงยั่งยืน รัฐบาลนี้จึงให้ความ สำคัญอย่างมาก กับการสร้างความเข้มแข็งทั้งภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจัดสรรพื้นที่ดินทำกินให้กับผู้มีรายได้น้อย ซึ่งจะต้องทยอยดำเนินการทั่วประเทศทุกจังหวัดอยู่ในแผนงานอยู่แล้วขอให้อดทนสักนิดหนึ่งนะครับ


การวางระบบการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการให้สอดคล้องกับการเกษตรนะครับ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการเพาะปลูก ให้เหมาะสมกับสภาพ แวดล้อม การทำเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อง่ายต่อการบริหารการช่วยเหลือและกำหนดมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ การให้ความสำคัญกับการแปรรูปผลิตภัณฑ์ การสร้างมูลค่าเพิ่ม ด้วยการตั้งเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolish) นะครับ รวมทั้ง ผู้ประกอบการรายย่อย SMEs, Start-up รวมทั้งOTOP เป็นต้น


สำหรับภาคอุตสาหกรรม ที่กำหนดไว้ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย รายละเอียดตามหน้าจอนะครับ ได้แก่ การต่อยอด 5 อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ S-curveและการส่งเสริม 5 อุตสาหกรรมอนาคตNew S-curve ให้เป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่ประเทศไทยจะได้มีศักยภาพในการแข่งขันและมีผู้สนใจลงทุนร่วมทั้งการกำหนดเขตพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ 10 แห่งทั่วประเทศ วันนี้ก็มีความ ก้าวหน้าตามลำดับนะครับ
และที่สำคัญก็คือโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจ ภาคตะวันออก (EEC)นะครับ โดยได้มีการกำหนดกลุ่มจังหวัด เป็นCluster และ Super Cluster ประกอบไปด้วย รวมทั้งขณะนี้พยายามเร่งขับเคลื่อน นโยบายเกี่ยวกับเรื่อง Digital ที่เรียกว่า “Digital Economy” และ “ไทยแลนด์ 4.0” ซึ่งต้องเน้นการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ในทุกภาคการผลิตรวม ไปถึงการวางระบบการศึกษา ระบบการผลิตแรงงานออกสู่ตลาด ที่สอดคล้องกับทิศทางการขับเคลื่อนประเทศ

อย่างไรก็ตามนะครับ ในสังคมไทยยังคงมีทั้งคนไทยยุคใหม่ ยุคเก่า ที่เรียกว่า “คนไทย 1.0 – 2.0 – 3.0 และ 4.0” ตามช่วงวัยนะครับ ที่ยังอยู่รวมกันในสังคมในปัจจุบัน รัฐบาลก็จะต้องให้ทุกคน ได้รับการพัฒนา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ได้มีการพัฒนาที่เท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข


ผมอยากให้พี่น้องประชาชนเข้าใจระบบเศรษฐกิจอย่างง่าย ว่า “เงินหมุนเวียน” ในระบบเศรษฐกิจประเทศ จะมาจาก 4 กิจกรรมหลัก คือ


(1) การใช้จ่ายของประชาชน


(2) การใช้จ่าย การลงทุนภาครัฐ


(3) การลงทุนจากต่างประเทศ


(4) การส่งออก นะครับ


หากประชาชนไม่มีความเข้าใจแล้ว การอาจไม่สามารถช่วยให้ประเทศรักษาสมดุลในระบบเศรษฐกิจของประเทศได้ เช่น ไม่ยอมใช้จ่าย ไม่รู้ว่าทำไมรัฐต้องมีการลงทุน ไม่ช่วยกันสร้างสภาพที่เกื้อกูลต่อการลงทุนจากต่างประเทศ เป็นต้น


ที่ผ่านมานั้น ผมเรียนอีกครั้งเราอาศัยรายได้ ร้อยละ 70 นะครับ จากการส่งออก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในปัจจุบันด้วยเหตุผลที่ผมกล่าวไปแล้ว บางคนมองว่าเป็น “ต้มยำกุ้ง”ที่เศรษฐกิจ “ระดับบน” พังเป็นแถบ แบงก์มีปัญหา แต่ความจริงเป็น “ต้มยำกุ้งกลับหัว” ไม่เหมือนในอดีต คือ เศรษฐกิจ “ระดับบน” ยังใช้ได้ แต่ “ระดับล่าง” จาก 2-3 ปีที่ผ่านมา เจอภัยแล้ง เจอปัญหาสารพัด ทั้งเกษตรราคาตกต่ำ เมื่อเศรษฐกิจโลกไม่ดีด้วยนะครับ และกว่า 10 ปี ที่ไม่ได้รับการเสริมสร้างความเข้มแข็ง ละเลย แต่รัฐบาลนี้ ก็ยังพยายามอย่างเต็มที่นะครับ พยายามที่จะประคับประคองไว้ได้ทุกอย่าง

จากGDP เดิม โตแค่ 0.8% นะครับ วันนี้กลายเป็นโต 3.5% ได้นะครับ ก็ล้วนเป็นผลมาจากการกระตุ้น ด้วยการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจ “ระดับล่าง ฐานราก” พร้อมกันไปด้วยนะครับกับการลงทุนใหม่ๆ ในเศรษฐกิจระดับบนนะครับ เพราะมันต้องเกื้อกูลกันเป็นห่วงโซ่กันนะครับ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ เช่น ในเรื่องของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ทางบก ทางราง ทางน้ำ ทางอากาศ และทางด้าน ICT นะครับ

ทั้งหมดต้องมีการบริหารจัดการที่เหมาะสมนะครับ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนทุกระดับนะครับ ไม่ว่าจะรายได้มาก รายได้ปานกลาง รายได้น้อย ต้องได้รับผลนะครับ จากไม่ว่าจะเป็น 4.0 ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจใหม่ทั้งสิ้นทั้งหมดนะครับ เราต้องทำให้ได้ ก็ถือว่าครั้งนี้เป็นโอกาสที่เราจะปฏิรูปเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศร่วมกันนะครับ


สุดท้ายนี้ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนและผู้ที่สนใจมาอุดหนุนสินค้าพื้นบ้านในงาน “โอทอปภูมิปัญญาไทย ก้าวไกลสู่สากล” ณ ตลาดคลองผดุงฯ ข้างทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่วันที่ 3 ถึงวันที่ 27 พฤศจิกายน นี้ นอกจากจะมีผลิตภัณฑ์โอทอป จากทุกภูมิภาคของประเทศแล้ว ซึ่งเราจะต้องมีมาตรฐานส่งออกต่างประเทศมีคุณภาพสูงด้วยนะครับ และวันนี้เราขายดีติดตลาดแล้ว


ผมขอขอบคุณสถานเอกอัครราชทูต 17 ประเทศนะครับ ที่ได้นำสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ ภูมิมิปัญญาและสะท้อนถึงวัฒนธรรมของแต่ละชาติมาร่วมจำหน่ายด้วย อาทิเช่น พรมจากปากีสถาน อัญมณีจากกัมพูชา ศรีลังกา สินค้าหัตกรรมจากอีหร่าน ไนจีเรีย ผ้าบาติกจากอินโดนีเซีย ผ้าไหมจากลาว พระพุทธรูปจากเนปาน และสมุนไพรจากอินเดีย เป็นต้นนะครับ ก็ช่วยกันนะครับ ต่างตอบแทน เพราะเราเป็นเพื่อนกันทั้งสิ้นนะครับ ไม่ว่าจะอาเซียนหรือประชาคมโลกใดๆก็ตาม เพราะเราคือมวลมนุษยชาติของโลกใบนี้นะครับ โลกใบเดียวกัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง