อ้างป่วย "จิตเวช" ละเว้นความผิดไม่ได้ ขอเชื่อมั่นการตรวจประเมิน

สังคม
22 ส.ค. 65
14:07
332
Logo Thai PBS
อ้างป่วย "จิตเวช" ละเว้นความผิดไม่ได้ ขอเชื่อมั่นการตรวจประเมิน
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
กรมสุขภาพจิต ชี้ไม่สามารถอ้างความเป็นผู้ป่วยจิตเวช เพื่อละเว้นจากการรับผิดเมื่อก่อคดี ขอประชาชนเชื่อมั่นการตรวจประเมินทางนิติจิตเวช ประกอบการพิจารณาในกระบวนการยุติธรรม

วันนี้ (22 ส.ค.2565) จากกรณีผู้กระทำความผิดที่อ้างความเป็นผู้ป่วยจิตเวช ขอละเว้นการรับโทษตามกฎหมาย ได้สร้างความวิตกในสังคม ถึงการระบุความรับผิดชอบที่ผู้ก่อเหตุควรจะได้รับ

กรมสุขภาพจิต ชี้แจงการดำเนินคดีกับผู้ก่อคดีที่อ้างความเป็นผู้ป่วยทางจิต แม้จะมีประวัติการรักษาอยู่แล้วก็ตาม โดยกฎหมายมีข้อกำหนดให้ตรวจประเมินทางนิติจิตเวช เพื่อรับรองสภาวะทางจิตจากสถานพยาบาล ประกอบการพิจารณาโทษตามกระบวนการยุติธรรม

พร้อมเชิญชวนสังคมร่วมสอดส่องหากพบเห็นบุคคลที่มีความผิดปกติทางจิต มีภาวะอันตรายหรือต้องได้รับการบำบัดรักษาให้แจ้งพนักงานเจ้าหน้าที่ ตาม พ.ร.บ.สุขภาพจิต พ.ศ.2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2561 เพื่อนำส่งสถานพยาบาลเพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด

พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ส่วนมากผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิตทั่วไป ระดับที่ไม่รุนแรง แม้จะมีความเสี่ยงในการทำร้ายตัวเองที่สูงกว่าคนทั่วไป แต่ความเสี่ยงในการทำร้ายผู้อื่นมักไม่ต่างจากสถิติในประชากรโดยรวม

การด่วนสรุปว่า คดีสะเทือนขวัญต่าง ๆ เกิดจากปัญหาสุขภาพจิตทั่ว ๆ ไป เพียงอย่างเดียวนั้น อาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ความตื่นตระหนก และอาจสร้างตราบาปต่อผู้ที่กำลังบำบัดรักษาด้านสุขภาพจิตอยู่ในสังคม

ในทางปฏิบัติ ความเจ็บป่วยทางจิตที่จะมีผลต่อการรับโทษ เขียนไว้ชัดเจนในประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 65 ซึ่งผู้ใดกระทำความผิดในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง โรคจิตหรือจิตฟั่นเฟือน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น แต่ถ้าผู้กระทำความผิดยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ผู้นั้นต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น

เพียงแต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น หรือหมายถึง ต่อให้มีใบรับรองว่าป่วยทางจิต หรืออยู่ในกระบวนการรักษา ก็ต้องมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าความเจ็บป่วยนั้น

ส่งผลต่อความสามารถในการรู้ผิดชอบ หรือการควบคุมตนเองมากน้อยเพียงใด เช่น ผู้ป่วยโรคจิตเภทที่รักษาจนบรรเทาแล้วไปก่อคดีฆาตกรรม ก็ไม่สามารถนำมาใช้เป็นเหตุยกเว้นการรับโทษ หรือรับโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดได้ ซึ่งการตรวจประเมินทางนิติจิตเวชทางการแพทย์เป็นกระบวนการหนึ่ง ศาลจะนำข้อมูลไปประกอบการพิจารณา

นพ.ณัฐกร จำปาทอง ผู้อำนวยการสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ กล่าวว่า พ.ร.บ.สุขภาพจิต พ.ศ.2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2561 ได้กำหนดกฎหมายเพื่อคุ้มครองประชาชนโดยทั่วไป

หากประชาชนพบผู้ต้องสงสัยเป็นผู้ป่วยจิตเวช หรือมีความผิดปกติทางจิต มีภาวะอันตรายหรือจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษา สามารถดำเนินการตามมาตรา 26 ที่ได้กำหนดไว้ว่า

ในกรณีฉุกเฉิน หากได้รับแจ้งว่า มีบุคคลที่มีความผิดปกติทางจิต หรือพบบุคคลที่มีความผิดปกติทางจิต ซึ่งมีภาวะอันตรายและเป็นอันตราย ให้นำผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางจิต ส่งสถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยอาการ

บุคคลที่สามารถนำตัวผู้ป่วยส่งสถานพยาบาลได้ ได้แก่ (1) พนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น แพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา นักสาธารณสุข (2) พนักงานฝ่ายปกครอง เช่นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอ ปลัดอำเภอ (3) เจ้าหน้าที่ตำรวจ

ส่วนกรณีที่พบบุคคลที่มีอาการทางจิต แต่ยังไม่ได้กระทำความผิด เช่น เดินพูดคนเดียว บุคคลทั่วไปสามารถแจ้งพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้นำตัวส่งสถานพยาบาลตามมาตรา 24

กรมสุขภาพจิต ขอสังคมให้ความสนใจต่อเรื่องปัญหาด้านสุขภาพจิตอย่างตระหนัก แต่ไม่ตระหนก เนื่องจากเหตุโศกนาฏกรรมที่เชื่อมโยงกับผู้ป่วยจิตเวชเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ขอให้เชื่อมั่นในการตรวจประเมินทางนิติจิตเวชที่จะสร้างความยุติธรรมให้กับทุกฝ่ายในสังคม

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

กองทัพไทย สั่งเร่งตรวจสอบ ปม ภรรยา ส.ว.ทำร้ายทหารหญิงรับใช้ 

"ทหารหญิง" แจ้งความอ้างนายจ้างภรรยา ส.ว.ทำร้ายร่างกาย 

ตร.เร่งสอบปากคำเพิ่ม "ส.ต.ท.หญิง" ก่อนส่งสำนวนอัยการ 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง