"จีน" ประชุมสมัชชาฯ จับตา ดัน "สี จิ้นผิง" นั่ง ปธน.สมัยที่ 3

ต่างประเทศ
10 ต.ค. 65
13:53
674
Logo Thai PBS
"จีน" ประชุมสมัชชาฯ จับตา ดัน "สี จิ้นผิง" นั่ง ปธน.สมัยที่ 3
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ ครั้งที่ 20 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 16 ต.ค. นี้ นอกจากเรื่องการนั่งตำแหน่ง ปธน. สมัยที่ 3 ต่อของ สี จิ้นผิง แล้ว ทั่วโลกยังจับตารอดูการผ่อนปรนนโยบาย Zero Covid และแผนพัฒนาโลกของจีนในอีก 5 ปีข้างหน้าอีกด้วย
ยินดีต้อนรับสู่การประชุมพรรคครั้งที่ 20

ป้ายขนาดใหญ่ที่ถูกประดับดอกไม้บริเวณ จัตุรัสเทียน อัน เหมิน และตามสถานที่สำคัญทั่วกรุงปักกิ่ง เป็นการบอกให้ชาวจีนทั้งประเทศได้รับรู้ถึง การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ ครั้งที่ 20 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 16 ต.ค.2565 นี้


ไฮไลต์สำคัญของการประชุมนี้มี 2 ประเด็นใหญ่ คือ

การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีน สมัยที่ 3 ของ สี จิ้นผิง ซึ่งข้อนี้ ไม่เกินความคาดหมาย ใดๆ เพราะ ปธน.สี จิ้นผิง เริ่มส่งสัญญาณส่งต่ออำนาจสมัยที่ 3 ให้ตัวเองด้วยการเปลี่ยนกฎบัตรแก้ไขสถานะ การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของจีน ให้สามารถเป็นต่อได้ “ตลอดชีวิต”

ดร.ร่มฉัตร จันทรานุกูล ผู้เชี่ยวชาญอิสระ ที่ประเทศจีน ได้กล่าวไว้ว่า การสืบต่ออำนาจในสมัยที่ 3 ของ สี จิ้นผิง นั้น เป็นเรื่องที่แทบไม่ต้องคาดเดา และประชาชนจีนเองก็มองออกว่าประธานาธิบดีของพวกเขา คือ สี จิ้นผิง ในอีก 5 ปีข้างหน้า

ส่วนอีกประเด็นที่ น่าจับตามอง คือ สัดส่วนของสมาชิกกรมการเมือง (Politburo standing committee) รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน International Economics and Integration และ ASEAN Economics ให้ข้อสังเกตว่า การประชุมครั้งนี้สิ่งที่น่าสนใจคือ สมาชิกที่จะเข้ามาใหม่นั้น “อายุ” เท่าไหร่กันบ้าง

ถ้าอายุระหว่าง 60 ปลายๆขึ้นไป ก็มองได้ว่า สี จิ้นผิง ต้องการสืบต่ออำนาจของตนเองไปอีกในระยะยาว เพราะคนส่วนใหญ่ที่เลือกมา คือคนที่อายุใกล้เคียงกับ ปธน.สี จิ้นผิง ในขณะนี้

แต่ถ้าอายุระหว่าง 50 ต้นๆ ก็อาจเป็นไปได้ที่ ปธน.สี จิ้นผิง จะหยุดการปกครองจีนของตัวเองไว้ที่สมัยที่ 3 ในอีก 5 ปีข้างหน้านี้เท่านั้น เพราะต้องการที่จะสร้างผู้นำสูงสุดคนใหม่ ซึ่งอีก 5 ปีต่อมา คนเหล่านี้ก็จะอายุใกล้ 60 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุที่เหมาะสมต่อการขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำของจีน

 

การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ ครั้งนี้ จะพูดถึงนโยบายทุกด้านในจีน ทั้งสภาพการณ์ภายในประเทศ และต่างประเทศในอนาคต รวมถึงทบทวนการทำงานใน 5 ปีที่ผ่านมา

นโยบายที่สำคัญในสมัยที่ 2 ของ ปธน.สี

เน้นเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำของคนทั้งประเทศ สร้างความรุ่งเรืองให้เท่าเทียมกัน ผู้นำจีนมองว่า “ประชาชนต้องมาก่อน”

จีนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องชีวิตและสุขภาพของประชาชน ไปพร้อมกับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

ปธน.สี จิ้นผิง กล่าวว่า เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ระหว่างประเทศที่ "เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง" จีนมุ่งมั่นที่จะรักษาเกียรติและผลประโยชน์ที่สำคัญของชาติเอาไว้

ส่วนนโยบายสำหรับอีก 5 ปีข้างหน้า

ปธน.สี จิ้นผิง เตรียมเดินหน้าผลักดัน “แผนพัฒนาโลก หรือ GDI” (Global Development Initiative) จากเดิมที่ ปธน.สี จิ้นผิง เคยเรียกร้องในการประชุม G20 ที่อิตาลี เมื่อปีที่แล้ว ให้ประชาคมโลกกระชับความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ทั้งการบรรเทาความยากจน ความมั่นคงทางอาหาร การตอบสนองต่อโควิด-19 ฯลฯ มาในปีนี้ จีนพร้อมเสนออีก 3 ส่วนย่อยเพื่อเป็นต้นแบบให้ทั่วโลกได้เห็น คือ

- Global Green Initiative การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- Global Clean Initiative การตอบสนองต่อโควิด-19 และวัคซีน
- Global Digital Initiative การพัฒนาอุตสาหกรรม เศรษฐกิจดิจิทัลและการเชื่อมต่อ

นอกจากนั้นยังเพิ่ม เรื่องของ "โครงการความมั่นคงโลก หรือ GSI" (Global Security Initiative) โดยนโยบายนี้ ปธน.สี จิ้นผิง เคยกล่าวไว้ตลอด 6 ครั้งของการประชุมโป๋อ่าว ฟอรั่ม ฟอร์ เอเชีย (Boao Forum for Asia หรือ BFA)

ทำให้เอเชียเป็นที่ยึดเหนี่ยว

โดยต้องการทำให้เอเชียเป็นที่ยึดเหนี่ยวสันติภาพของโลก และเป็นผู้กำหนดแนวทางใหม่ในการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ

การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ ครั้งที่ 20 ครั้งนี้ ถึงแม้จะเป็นการประชุมที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนประเทศจีนเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ทั่วโลกก็ยังจับตามองว่า ปธน.สี จิ้นผิง จะผ่อนปรนนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (Zero Covid) หรือไม่ เพราะแม้ว่านโยบายนี้จะได้ผลดีในการกดจำนวนผู้ติดเชื้อและการระบาดโรคให้อยู่ในวงจำกัด แต่ก็ส่งผลให้เศรษฐกิจในจีนชะลอตัวมาก

และในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง ของจีน มีกำหนดการเดินทางไปประชุม ASEAN+1, ASEAN+3 ที่กัมพูชา
ส่วน ปธน.สี จิ้นผิง ก็มีกำหนดการเดินทางไปประชุม G20 ที่อินโดนีเซีย และ APEC ที่ไทย ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ซึ่งหากยังไม่มีการผ่อนปรนนโยบายโควิดเป็นศูนย์ จะทำให้การขับเคลื่อนประเทศเป็นไปค่อนข้างช้าและยากมากขึ้น

เนื่องจากขณะนี้ การเดินทางออกจากจีนเป็นเรื่องที่ง่าย แต่เมื่อกลับเข้าจีน เป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะต้องกักตัวเมื่อกลับถึงจีนเป็น 10 วัน และหากต้องเดินทางไปเมืองอื่นก็ต้องกักตัวเพิ่มอีก 7 วัน และ ปธน.สี จิ้นผิง เองก็เคยกักตัวแล้ว หลังจากกลับจากการประชุม SEO ที่อุซเบกิสถานเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา และผลกระทบจาก ปธน.สี จิ้นผิง ได้รับคือ ข่าวลือเรื่องการรัฐประหารในรัฐบาลของเขานั่นเอง

 

ที่มา : www.ryt9.com

        www.bangkokbiznews.com

        www.xinhua.com 

        www.scmp.com

ข่าวที่เกี่ยวข้อง