"บิ๊กโจ๊ก" ลงพื้นที่ เร่งรัดคดีมูลนิธิทำร้ายเด็ก ยืนยันเชื่อในหลักฐาน

อาชญากรรม
4 พ.ย. 65
07:19
451
Logo Thai PBS
"บิ๊กโจ๊ก" ลงพื้นที่ เร่งรัดคดีมูลนิธิทำร้ายเด็ก ยืนยันเชื่อในหลักฐาน
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
รอง ผบ.ตร. "พล.ต.อ.สุรเชษฐ์" ลงพื้นที่ จ.สมุทรสงคราม ติดตามคดีมูลนิธิคุ้มครองเด็ก ทำร้ายร่างกายเด็ก ยืนยันตำรวจพิจารณาตามพยานหลักฐานและคำให้การของเด็ก

วันที่ 3 พ.ย.2565 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางเข้าติดตามความคืบหน้าทางคดี มูลนิธิคุ้มครองเด็ก ทำร้ายร่างกายเด็กและเยาวชนในมูลนิธิ ที่ สภ.อัมพวา พร้อมเปิดเผยว่า นอกจาก 2 ข้อหาที่แจ้งความดำเนินคดีกับนายมนตรี สินทวิชัย หรือ ครูยุ่น ในระหว่างการสืบสวนสอบสวน หากพบการกระทำใดที่เข้าข่ายมีความผิดเพิ่มเติมก็พร้อมที่จะดำเนินคดีเพิ่มเติม (อ่านข่าว : "ครูยุ่น" รับทราบข้อหาคดีทำร้ายเด็ก-ให้การปฏิเสธ)

ส่วนคำชี้แจงของผู้ถูกกล่าวหาก็เป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้ แต่ยืนยันว่า ตำรวจพิจารณาตามพยานหลักฐานและคำให้การของเด็กๆ ที่ถูกกระทำ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า การที่เด็กมีที่พักพิงแต่พยายามร้องขอความช่วยเหลือหรืออยากออกมาจากสถานที่แห่งนั้นย่อมมีสาเหตุ

พร้อมระบุ ข้อมูลการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ผลตรวจร่างกายเด็กทั้ง 29 คน ที่ช่วยเหลือออกจากมูลนิธิได้ไปก่อนหน้านี้ มีเด็กบางคน มีร่องรอยบาดแผลที่น่าเชื่อได้ว่า เกิดจากการถูกทำร้ายร่างกาย

ด้านประเด็นเรื่องยาเสพติดที่มีคำกล่าวอ้างจากครูยุ่นว่ามี เด็กบางคนเสพยาเสพติด ได้ส่งเด็กตรวจหาสารเสพติดในร่างกายแล้วขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลตรวจ

ส่วนการตรวจสอบพยานหลักฐานที่ ได้สอบสวนเข้าดำเนินการเก็บรวบรวมพยานหลักฐานออกมาจากมูลนิธิเมื่อวานที่ผ่านมา ไปจนถึงการ์ดความจำจากกล้องวงจรปิดทั่วบริเวณของมูลนิธิ ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจวิเคราะห์ผล

ส่วนเด็กที่ยังอยู่ในความดูแลของมูลนิธิจนถึงขณะนี้ กว่า 20 คน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยัน ครูยุ่นจะต้องให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ เพื่อให้สหวิชาชีพได้สอบปากคำเด็กทุกคน

แต่การช่วยเหลือเด็ก ในการย้ายสถานสงเคราะห์หรือสถานรับเลี้ยงดูแล ยืนยันว่า ต้องคำนึงถึงความสมัครใจของเด็ก หากใครที่สมัครใจอยู่ต่อก็เป็นสิทธิ์ของเด็กที่สามารถทำได้

ญาติเด็กรับตัวหลานไปอยู่ในความดูแล

นอกจากนี้ ยังมีญาติของเด็กจำนวน 3 คน ที่ยังอยู่ในความดูแลของมูลนิธิคุ้มครองเด็ก เดินทางมาจาก จ.นครสวรรค์ เพื่อขอรับหลานทั้ง 3 คน กลับไปอยู่ในความดูแลของครอบครัวด้วย

ญาติของเด็ก เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้เคยมีความพยายามเข้ามาติดต่อขอรับเด็กกลับไปอยู่ในความดูแลของครอบครัวแล้ว โดยมีใบมอบอำนาจจากแม่ของเด็กแต่ เจ้าหน้าที่มูลนิธิ ยืนยันว่าแม่ต้องมารับเอง เป็นเหตุให้ไม่สามารถรับเด็กทั้ง 3 คน ออกไปจากมูลนิธิได้

นอกจากนี้ญาติเล่าสาเหตุ ที่ผู้เป็นแม่ต้องส่งลูกทั้งเด็ก 3 คน มาอยู่ในความดูแลของสถานสงเคราะห์ ว่า ช่วงประมาณปี 2562 มีความจำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศ แรกเริ่มฝากลูกทั้ง 3 คน ไว้กับญาติ ต่อมาได้ย้ายลูกทั้ง 3 คน ไปฝากไว้กับเพื่อน ที่อยู่ใน จ.นครราชสีมา แต่ช่วงนั้นตรงกับช่วงที่ลูกทั้ง 3 คน อยู่ในวัยช่วงกำลังโตก็อาจจะมีดื้อบ้างทำให้ต้องย้ายที่รับฝากเลี้ยงซึ่งได้ค้นหาข้อมูลสถานสงเคราะห์รับเลี้ยงผ่านอินเทอร์เน็ตกระทั่งพบกับมูลนิธิคุ้มครองเด็กใน จ.สมุทรสงคราม จึงตัดสินใจย้ายลูกทั้ง 3 คน มาฝากเลี้ยงไว้ที่นี่

ผ่านไปได้ประมาณ 3-4 เดือน สถานะการเงินเริ่มดีขึ้นจึงให้ญาติให้มารับกลับ ช่วงประมาณต้นปี 2563 แต่เมื่อมาถึงปรากฏว่า เลขาธิการมูลนิธิและเจ้าหน้าที่แสดงอาการไม่ต้อนรับ ผู้เป็นแม่วิดีโอคอลมาพูดคุยก็ไม่สำเร็จ จึงไม่สามารถรับเด็กทั้ง 3 คน กลับไปอยู่ในความดูแลของครอบครัวได้

สำหรับหลานทั้ง 3 คน ในช่วงที่ส่งเข้า มูลนิธิ คนโต เป็นหญิงอายุ 15 ปี ส่วน อีก 2 คนเป็นชาย อายุใกล้เคียงกัน ซึ่งปัจจุบันหลานสาวคนโตเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แล้ว

ซึ่งในช่วงก่อนหน้านี้ที่หลานสาวคนโตพยายามติดต่อกับแม่ที่อยู่ต่างประเทศผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์พร้อมกับเล่าสถานการณ์ให้ฟังว่า ถูกใช้งานให้เลี้ยงดูเด็กเล็กในมูลนิธิทำให้ต้องนอนดึกทุกวัน

อีกทั้ง อ้างว่า ถูกใช้ให้ไปดูแลญาติของครูยุ่นที่ป่วยเป็นโรคไตเรื้อรัง ซึ่งทางญาติสะท้อนความเห็นว่า หากเป็นความจริง ก็คิดว่า เด็กที่มาอยู่ในความดูแลของสถานสงเคราะห์ไม่ควรถูกใช้งานในลักษณะนี้

ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้เข้าแจ้งหลักเกณฑ์กับญาติของเด็ก ว่า วันนี้ยังอนุญาตให้เด็กทั้ง 3 คน ส่งมอบให้กับทางญาติที่มาติดต่อขอรับได้ในขณะนี้

เนื่องจากตามกระบวนการของการช่วยเหลือคุ้มครองเด็กแล้วจะต้องนำเด็กออกมาจากมูลนิธิและนำเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบสภาพร่างกายและจิตใจเพื่อประเมินความพร้อมของเด็กก่อนที่จะออกก่อนจะให้กลับไปก่อนจะพิจารณาว่าจะให้เด็กกลับไปอยู่ในความดูแลของครอบครัวหรือจำเป็นจะต้องเข้าสู่กระบวนการ

หลังได้รับการแจ้งทางญาติก็ยอมรับว่าผิดหวังเสียความตั้งใจเพราะเข้าใจว่าทันทีที่เดินทางมาถึงจะได้รับตัวหลานทั้ง 3 คนกลับบ้านไปด้วยแต่ก็เข้าใจในกระบวนการของเจ้าหน้าที่

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 

"ครูยุ่น" มูลนิธิคุ้มครองเด็ก เปิดใจเคลียร์ทุกคำถาม ปมทำร้ายเด็ก - ใช้แรงงาน

ตร.ปล่อยตัว "ครูยุ่น" ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ประกันตัว

พม.รับดูแลเยาวชน 29 คน จากสถานสงเคราะห์ จ.สมุทรสงคราม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง