ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

มัสก์-ทรัมป์ บทเรียนราคาแพง CEO ที่ริอาจสู้กับประธานาธิบดี

ต่างประเทศ
15:50
444
มัสก์-ทรัมป์ บทเรียนราคาแพง CEO ที่ริอาจสู้กับประธานาธิบดี
จากมิตรภาพอันอบอุ่นสู่สงครามโซเชียลมีเดียอันดุเดือดเผ็ดร้อน สะเทือนทั้งตลาดหุ้นและการเมืองสหรัฐฯ ทรัมป์-มัสก์ ตอกย้ำทางเดินสุดอันตรายที่บรรดา CEO ต้องเผชิญ เมื่อพวกเขาตัดสินใจ "กระโดดลงไปเล่นการเมือง" โดยไม่ทันระวัง

แรกเริ่มเดิมที อีลอน มัสก์ ได้กระโจนลงสู่สนามการเมืองอย่างเต็มตัว ด้วยการสวมบทบาทเป็น "ที่ปรึกษาคนสนิท" ของโดนัลด์ ทรัมป์ ถึงขนาดที่ว่าทรัมป์ถึงกับเปิดโชว์รูมเทสลาส่วนตัว ที่ทำเนียบขาวเป็นการแสดงความขอบคุณในความภักดี

การร่วมมือกันนี้ดูเหมือนจะส่งผลดีต่อเทสลาในช่วงเวลาหนึ่ง เพราะนักลงทุนต่างเชื่อว่าทรัมป์จะมอบอภิสิทธิ์ ให้กับผู้สนับสนุนรายใหญ่อย่างมัสก์อย่างแน่นอน นอกจากนี้ มัสก์ยังได้รับบทบาทสำคัญในการเป็นหัวหน้า "กระทรวง DOGE" ที่มีภารกิจลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งงานนี้ก็ดูเหมือนจะถูกใจฐานเสียงรีพับลิกันอยู่ไม่น้อย

มิตรภาพอันแนบแน่นที่พังทลาย

ทว่าความสัมพันธ์อัน "หวานชื่น" นี้กลับกลายเป็น "หายนะ" เมื่อมัสก์ตัดสินใจหักมุม ออกจากบทบาททางการเมือง เพื่อกลับไปทุ่มเทให้กับธุรกิจของตัวเอง แต่ที่สร้างความตกตะลึงไปทั่ว คือการที่เขาสาดโคลนใส่ร่างกฎหมายนโยบายในประเทศของทรัมป์อย่างไม่ไว้หน้า โดยเรียกว่า "สิ่งน่ารังเกียจ น่าขยะแขยง"

การต่อสู้ด้วยคำพูดในโลกโซเชียลมีเดียระหว่าง 2 มหาเศรษฐีนี้ ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อมัสก์ออกมาฟาดต่อ กล่าวถึงทรัมป์อย่างเจ็บแสบว่า ถ้าไม่มีเขา ทรัมป์ก็จะแพ้การเลือกตั้งไปแล้ว และถึงขั้นเล่นใหญ่ด้วยการอ้างถึง "เอกสารของเจฟฟรีย์ เอปสไตน์" เพื่อขู่ทรัมป์ ซึ่งเรื่องนี้ทางทำเนียบขาวก็ได้ออกมาแสดงความเห็นว่าเป็นเพียงเหตุการณ์ที่น่าเสียใจ

ผลลัพธ์ของการกระโดดลงมาเล่นการเมืองแบบ "สุดซอย" แล้วมา "หักดิบ" กลางคันนี้ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออาณาจักรเทสลาของมัสก์

ประการแรก คือการทำให้กลุ่มลูกค้าหลักของเทสลา ซึ่งเป็นกลุ่มคนหัวก้าวหน้าและชาวเดโมแครตที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่ง เอือมระอา และ ถอยห่าง ออกไป และยิ่งไปกว่านั้น การที่มัสก์เปิดศึกกับทรัมป์ในตอนนี้ ก็สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้สาวกทรัมป์ ซึ่งอาจจะเคยพิจารณาซื้อเทสลา ต้องเปลี่ยนใจเช่นกัน นักวิเคราะห์ชี้ชัดว่า การที่ผู้นำองค์กรไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ย่อมเป็นอันตรายต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียงของแบรนด์ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็ส่งผลต่อ "กำไรสุทธิ" ของบริษัทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

และก็เป็นดังคาด ราคาหุ้นเทสลา (TSLA) ดิ่งฮวบถึงร้อยละ 14 ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (5 มิ.ย.) เพียงแค่ในวันเดียว มูลค่าตลาดของเทสล่าก็หายไปกว่า 152,000 ล้านดอลลาร์ และทำให้ความมั่งคั่งของมัสก์ลดลงไปถึง 34,000 ล้านดอลลาร์ แม้หุ้นจะดีดตัวขึ้นเล็กน้อยในเช้าวันศุกร์ แต่ก็เพียง "น้อยนิด" เท่านั้น

นอกจากนี้ ธุรกิจในเครือของมัสก์ ไม่ว่าจะเป็นเทสลาเองที่ต้องพึ่งพาการอนุมัติจากรัฐบาล สำหรับเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติ หรือนิวราลิงก์ (Neuralink) ที่ต้องรอการอนุมัติจาก FDA รวมถึงสเปซเอ็กซ์ (SpaceX) ที่พึ่งพาสัญญาจากรัฐบาล โดยเฉพาะจาก NASA และกระทรวงกลาโหมรวมกันหลายหมื่นล้านดอลลาร์ ล้วนตกอยู่ในภาวะ "สุ่มเสี่ยง" อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

การที่ทรัมป์ออกมาขู่ว่าจะยกเลิกเงินอุดหนุนและสัญญารัฐบาลของมัสก์นั้น ไม่ใช่แค่คำขู่ลม ๆ แล้ง ๆ เพราะเทสลาเองก็พึ่งพาเครดิตภาษีรถยนต์ไฟฟ้ามูลค่า 7,500 ดอลลาร์/คัน ซึ่งคิดเป็นเงินหลายพันล้านดอลลาร์/ปี และยังต้องพึ่งพาการขายเครดิตกฎระเบียบด้านมลพิษให้กับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นอีกกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์/ปี ซึ่งทรัมป์ก็พร้อมที่จะทำลายตลาดนี้ด้วยการยกเลิกมาตรฐานการปล่อยมลพิษ Jeffrey Sonnenfeld ผู้ก่อตั้ง Yale Chief Executive Leadership Institute ถึงกับเปรียบเปรยว่า

ไม่มีเกียรติในหมู่โจร ตอนนี้เจ้าพ่อ 2 คนที่มีการแตกหักกัน และพวกเขาจะทำลายกันเอง

กระนั้น มัสก์ก็ยังคงมีความมั่นใจในอำนาจของตัวเองอย่างไม่เสื่อมคลาย ด้วยการบอกเป็นนัยว่า ทรัมป์เหลือเวลาเป็นประธานาธิบดีอีก 3.5 ปี แต่เขาจะอยู่ไปอีก 40 กว่าปี นั่นคือการขู่กลับที่แสนจะแสบทรวงว่าใครจะอยู่ได้นานกว่ากัน และยังคงมีอิทธิพลอย่างมหาศาลจากทั้งทรัพย์สินส่วนตัวที่มั่งคั่งที่สุดในโลก

และการเป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม X ซึ่งเป็นเวทีสำคัญสำหรับการเมือง เขาสามารถใช้ X เพื่อผลักดันแนวคิดของตัวเอง หรือแม้กระทั่งปิดปากคู่ต่อสู้ได้ และยังมีความพร้อมที่จะทุ่มเงินเพื่อสนับสนุนฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของทรัมป์ โดยที่มัสก์ยังคงได้รับคะแนนนิยมจากกลุ่มรีพับลิกันในระดับที่สูงถึงร้อยละ 43 จากการสำรวจเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับคะแนนนิยมของทรัมป์เลยทีเดียว

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีผู้ไม่เคยปรานีใคร

ในอีกมุมหนึ่ง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีผู้ไม่เคยยอมใคร ก็แสดงท่าทีไม่พอใจอย่างออกนอกหน้าต่อการที่มัสก์ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของเขา ทรัมป์ตอบโต้ด้วยการบอกว่ามัสก์มี "กลุ่มอาการหลอนทรัมป์" (Trump derangement syndrome) และถึงกับกล่าวกับ CNN ว่าเขาไม่ได้คิดถึงมัสก์เลย และ คงจะไม่ได้คุยกับมัสก์ไปสักพัก พร้อมกับทิ้งท้ายอย่างเย็นชาว่า "มัสก์เป็นบุคคลที่มีปัญหา ชายผู้น่าสงสารคนนั้นมีปัญหา" เพื่อแสดงให้เห็นว่าประธานาธิบดีไม่แคร์และไม่สนใจความสัมพันธ์นี้อีกต่อไป

สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการหักหาญน้ำใจอย่างแท้จริง คือการที่ทรัมป์ตัดสินใจจะขายเทสลาที่เพิ่งซื้อไปเมื่อเดือน มี.ค.ทิ้ง รถเทสลาสีแดงที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น การกระทำนี้เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า "เกมเปลี่ยน" แล้ว นอกจากนี้ ทรัมป์ยังข่มขวัญมัสก์อย่างชัดเจนผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ด้วยการประกาศกร้าวว่าวิธีที่ง่ายที่สุดในการประหยัดงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์ คือการยกเลิกเงินอุดหนุนและสัญญารัฐบาลของอีลอน

ทรัมป์นั้นขึ้นชื่อเรื่องการมี "อิทธิพลแบบสาวก" เหนือพรรครีพับลิกัน พรรคนี้กลายเป็นพรรคที่เน้นความภักดีต่อตัวทรัมป์ มากกว่าอุดมการณ์ใด ๆ และประธานาธิบดีผู้นี้ก็ไม่เคยลังเลที่จะใช้อำนาจของรัฐบาลกลางในการจัดการกับคนที่เขาคิดว่าเป็นศัตรู ดังที่ Bill George อดีต CEO ของ Medtronic และผู้เชี่ยวชาญจาก Harvard Business School กล่าวไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า

อย่าได้คิดทำสงครามกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ เด็ดขาด เพราะธุรกิจของคุณจะต้องเสียหายอย่างหนัก

และหากต้องเลือกข้างจริง ๆ ผู้มีอำนาจในพรรครีพับลิกันส่วนใหญ่ก็ย่อมจะเลือก "ทรัมป์" อย่างแน่นอน แม้ว่ามัสก์จะมีคะแนนนิยมในหมู่รีพับลิกันที่สูง แต่ความภักดีนั้น "ไม่อาจเทียบได้" กับความภักดีที่พวกเขามีต่อทรัมป์ และเพียงแค่ "คำพูดเพียงไม่กี่วันหรือสัปดาห์" จากทรัมป์ ก็อาจทำให้คะแนนนิยมของมัสก์ในหมู่รีพับลิกัน "ดิ่งลงเหว" ได้อย่างง่ายดาย

แล้วใครถือไพ่เหนือกว่า ในศึกแห่งศักดิ์ศรีนี้ ?

ในระยะสั้น ต้องยอมรับว่า "ไพ่อยู่ในมือทรัมป์" อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะในฐานะประธานาธิบดี เขามีอำนาจในการควบคุมหน่วยงานกำกับดูแลต่าง ๆ และสามารถสร้างความเสียหายให้กับธุรกิจของมัสก์ได้อย่างมหาศาล ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจได้กล่าวไว้ว่า "คุณต้องเลือกที่จะทำงานในรัฐบาล หรือจะบริหารธุรกิจของคุณ คุณไม่สามารถทำทั้ง 2 อย่างไปพร้อม ๆ กันได้" และนี่คือบทเรียนคลาสสิกที่มัสก์กำลังเผชิญหน้า

ทว่า มัสก์เองก็ไม่ใช่ "หมูในอวย" ที่จะยอมให้ทรัมป์เชือดง่าย ๆ โดยเฉพาะ SpaceX ที่ถือไพ่ผูกขาดในหลาย ๆ สัญญาของรัฐบาล เพราะไม่มีบริษัทอื่นใดที่สามารถเข้ามาทดแทน SpaceX ได้อย่างสมบูรณ์ ดังจะเห็นได้จากปัญหาของโบอิงในการขนส่งนักบินอวกาศ สิ่งนี้ทำให้ทรัมป์อาจจะขู่ได้ แต่การจะตัดทิ้ง SpaceX ไปเลยนั้นเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้

ศึกแห่งศักดิ์ศรีครั้งนี้ ถูกมองว่าเป็นการแตกหักอันป่าเถื่อน เสมือนกับการที่หัวหน้ามาเฟีย 2 คนแตกคอกัน และต่างฝ่ายต่างก็พร้อมที่จะโค่นล้มอีกฝ่าย แม้พันธมิตรร่วมของทั้ง 2 ฝ่ายต่างพยายามที่จะเจรจาสงบศึกอย่างเงียบ ๆ บิลล์ แอ็กแมน นักลงทุนมหาเศรษฐีก็ออกมาเรียกร้องให้ทั้งคู่ปรองดองกันเพื่อผลประโยชน์ของประเทศอันยิ่งใหญ่

ท้ายที่สุดแล้ว แม้ทรัมป์จะกุมอำนาจในระยะสั้น และมีอิทธิพลอย่างมหาศาลต่อพรรครีพับลิกัน แต่การที่มัสก์มีอิทธิพลจากทั้งทรัพย์สินจำนวนมหาศาล และการเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์หลักอย่าง X รวมถึงการที่เขาย้ำชัดว่าจะ "อยู่ไปอีกนาน" ก็ทำให้การที่พรรครีพับลิกันจะตัดหางมัสก์ปล่อยวัดนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

สองยักษ์ใหญ่คู่นี้ยังคงต้องฟาดฟันกันต่อไป และดูเหมือนว่าสนามรบที่แท้จริงอาจไม่ใช่แค่ในห้องประชุมทำเนียบขาว หรือบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย แต่เป็น "กระเป๋าเงิน" ของแต่ละฝ่ายและ "ความภักดี" ของผู้คนที่ต้องเลือกว่าจะ "ยืนข้างใคร"

ที่มา : CNN

อ่านข่าวอื่น :

คุ้มครองครบ! ครม.เห็นชอบขยายสิทธิ ม.40 เจ็บ-ป่วย-พิการ-ลูกเล็ก

แผ่นดินไหวขนาด 6.4 ทางตอนเหนือของชิลี