วันนี้ (7 มิ.ย.2568) จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนบนแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และความกังวลเกี่ยวกับการบริหารจัดการประเทศของรัฐบาลไทย ได้เกิดการเคลื่อนไหวและการแถลงข่าวจากบุคคลสำคัญหลายกลุ่ม โดยมีจุดร่วมคือการเรียกร้องให้รัฐบาลปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างจริงจัง ท่ามกลางข้อกล่าวหาเรื่องความอ่อนแอและการไร้ประสิทธิภาพในการทำหน้าที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับบทบาทของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร และความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ถูกมองว่าอาจส่งผลเสียต่อประเทศ
ปัญหาเกิดจาก "พ่อของนายกรัฐมนตรี"
นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้ร่วมแถลงข่าวในหัวข้อ "เมื่อประเทศไทยมีปัญหา ถึงเวลาของคนไทยทุกคน ที่ต้องมาร่วมกันทำวาระเพื่อชาติ" โดยเน้นย้ำว่าสถานการณ์ปัญหาไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ สะท้อนถึงความอ่อนแอของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ และ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม
นายจตุพรระบุว่าปัญหาทั้งหมดเกิดจาก "พ่อของนายกรัฐมนตรี" และวิจารณ์การพูดจาที่เสียเปรียบของ น.ส.แพทองธารและนายภูมิธรรม ที่บอกว่าพื้นที่พิพาทเป็น "No man's land" ซึ่งเท่ากับการยอมรับว่าไม่มีการรุกล้ำและทำให้กัมพูชาได้เปรียบในการลากไทยไปศาลโลก
นายจตุพรยังกล่าวถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างตระกูลชินวัตรกับตระกูลฮุน โดยระบุว่า นายทักษิณ ชินวัตร มีบ้านพักในกรุงพนมเปญ และหลานสาวของนายทักษิณก็แต่งงานกับผู้แทนในกัมพูชา และชี้ว่าแม้จะรู้จักเป็นการส่วนตัว แต่เรื่องผลประโยชน์ชาติ โดยเฉพาะเรื่องดินแดนนั้นจะต้องแยกแยะ
นายจตุพรยืนยันว่าการออกมาเรียกร้องเรื่องดินแดนนี้ ไม่ใช่การเรียกร้องรัฐประหารตามที่ถูกปั่นกระแส แต่เป็นเพราะความอ่อนแอของนายกฯ และการ "สทร." ทุกเรื่องของพ่อนายกฯ รวมถึงการไม่รู้จักหน้าที่ของรองนายกฯ ที่ทำให้เกิดสภาวะที่อาจนำไปสู่การเสียดินแดนได้ ย้ำว่าคนไทยไม่ควรก้มหน้ายอมเสียดินแดนเพราะกลัวรัฐประหาร
นอกจากนี้ นายจตุพรได้ท้าทาย นายทักษิณ ชินวัตร ให้แสดงความกล้าหาญไปขึ้นศาลฎีกาในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ ตามนัดไต่สวนคดี โดยกล่าวว่าไม่ต้องการฟังเหตุผลเรื่องอาการป่วย และเชื่อว่านายทักษิณจะไม่ไปศาล แต่จะหลบหนีออกนอกประเทศไปทางกัมพูชาอย่างแน่นอน หากมีความปล่อยปละละเลยเกิดขึ้น ย้ำว่าประเทศไทยไม่ควรเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียวอีกต่อไป

รัฐบาลไร้น้ำยา เรียกร้องให้ลาออก
อ.เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการทางกฎหมาย ได้กล่าวถึงปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่ารัฐบาลควรดำเนินการอย่างรวดเร็วตั้งแต่ผู้ช่วยรัฐมนตรีกัมพูชามาที่ปราสาทตาเมือนธมแล้วร้องเพลงชาติ ซึ่งควรให้กระทรวงการต่างประเทศเชิญเอกอัครราชทูตกัมพูชามาหารือและสื่อสารว่าการกระทำเช่นนี้กระทบต่อความมั่นคง
และยังวิจารณ์ว่าเมื่อรัฐบาลไม่ดำเนินการ การรุกคืบก็เกิดขึ้นทันที โดยมีการแสดงเชิงสัญลักษณ์และชาวบ้านเข้ามาซึ่งอาจเป็นการสอดแนม หากทหารกัมพูชาเข้ามาในพื้นที่ "No man's land" ไทยจะต้องผลักดันให้ถอยไปโดยด่วน อ.เจษฎ์เชื่อว่าทหารทุกคนไม่อยากให้เกิดศึกสงคราม เพราะพวกเขาเจ็บและตายจริง ในขณะที่นักการเมืองไม่เจ็บไม่ตาย
อย่างไรก็ตาม หากมีความจำเป็นภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ อาจมีการป้องกันตัว เช่น การยิงขู่เพื่อผลักดันผู้รุกล้ำออกไป พร้อมพากษ์วิจารณ์การกระทำของรัฐบาลที่ "มะงุมมะงาหรา" ไม่ตัดสินใจทำอะไร และยังคงใช้ "ความสัมพันธ์ส่วนตัว" มาอ้างในการแก้ปัญหา ซึ่งทำให้ไทยเสียเปรียบและเสียสถานะในเวทีโลก
อ.เจษฎ์ ยังกล่าวว่าสถานการณ์ปัจจุบันทำให้คนพูดว่า "ไล่รัฐบาลก่อนไล่เขมรดีหรือไม่" เห็นว่าหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ควรต้องรับผิดชอบและพากันลาออกไปให้หมด เพราะหากดูแลบ้านเมืองไม่ได้ ประชาชนและทหารก็สามารถทำหน้าที่ของตนเองได้ ย้ำไม่ได้บอกให้ปฏิวัติ แต่รัฐบาลควรเปลี่ยนไปตามครรลอง และลาออกหากไม่สามารถทำงานได้

ยกเลิก MOU43 ยืนยัน "Thailand" ไม่ใช่ "No man's land"
อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เตรียมยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีในวันที่ 10 มิ.ย.นี้ เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยของประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม
ระบุกังวลว่ารัฐบาลไทยยังไม่กล้ายืนยันว่าแผ่นดินไทยอยู่ที่ไหน แม้ฝ่ายกองทัพจะยืนยันได้ ยืนยันว่าพื้นที่ที่มีการรุกล้ำนั้น "ไม่ใช่ No man's land แต่เป็น Thailand" การพูดว่าเป็น "No man's land" เป็นผลเสียหายต่อประเทศไทยอย่างมาก เพราะเท่ากับไม่ยืนยันว่านั่นคือแผ่นดินไทย อ.ปานเทพเสนอว่า รัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศ ต้องมีมาตรการประท้วงอย่างเป็นทางการ ผลักดัน หรือจับกุมผู้กระทำผิด เช่นเดียวกับกรณีนายวีระ สมความคิดที่เคยถูกจับกุมในกัมพูชา
อ.ปานเทพยังเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก MOU 2543 ซึ่งกัมพูชายังคงยึดถือและอ้างมาตราส่วน 1 : 200,000 ที่ประเทศไทยไม่เคยยอมรับ การยกเลิก MOU 2543 จะเป็นโอกาสให้ไทยกลับมาเจรจา JBC ใหม่ ตามลักษณะลองติจูดละติจูดที่มองเห็นได้จากดาวเทียม เพื่อไม่ให้มีการซ้ำรอยกับการเสียปราสาทเขาพระวิหารและพื้นที่โดยรอบ
พร้อมชี้ว่าคำแถลงของ รมว.กลาโหม ที่ว่าจะปกป้องอธิปไตยนั้นยังไม่ชัดเจน เพราะยังไม่กล้ายืนยันว่าแผ่นดินไทยอยู่ที่ไหน และยังไม่ประท้วงกัมพูชาว่ารุกล้ำแผ่นดินไทย และยังกล่าวว่าการที่นายภูมิธรรมให้อำนาจเหล่าทัพในการเปิดหรือปิดด่านชายแดนนั้น "ช้าไปแล้ว" แต่กองทัพบกมีหน้าที่ในการใช้ทุกมาตรการเพื่อปกป้องอธิปไตยให้ได้มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม การประท้วงอย่างเป็นทางการเพื่อไม่ให้เข้าข่ายกฎหมายปิดปากนั้น ต้องมาจากรัฐบาลไทยหรือกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ใช่แค่กองทัพ อ.ปานเทพย้ำว่าประเทศไทยต้องไม่ "บ้าจี้ไปรับอำนาจศาลโลกอีก" และควรยืนหยัดในกฎบัตรสหประชาชาติที่ยืนยันสิทธิ์ในการปกป้องอธิปไตยของตนเอง

แฉผลประโยชน์ "ทักษิณ" นโยบายยึดคืนแผ่นดิน
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อใดที่รัฐบาลเพื่อไทยหรือรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับนายทักษิณมาบริหารประเทศ ก็มักจะมีปัญหากับกัมพูชาเสมอ เช่น การเสียพื้นที่เขาพระวิหารสมัยพรรคไทยรักไทย เขากล่าวว่าที่ตนเองไม่ยอมนายทักษิณในวันนี้ เพราะคิดถึงประเทศชาติ ประชาชน และสถาบันพระมหากษัตริย์ แม้จะรู้จักกันมานานกว่า 50 ปี
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ตั้งข้อกล่าวหาอย่างรุนแรงว่านายทักษิณต้องการนำ "ระบบฮุน" มาใช้ในประเทศไทย และมีความกลัวกัมพูชาเพราะกัมพูชากุม "ความลับ" และผลประโยชน์ของนายทักษิณไว้จำนวนมาก และยังระบุว่าการหนีออกนอกประเทศของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในครั้งก่อน ก็ผ่านทางกัมพูชาและอยู่ภายใต้การดูแลของ ฮุน เซน ทั้งหมด
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวหาว่านายทักษิณเป็นนักธุรกิจที่คำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่รู้จักพอ และมีเงินมหาศาล พร้อมทั้งยังคงยืนยันจุดยืนที่แข็งกร้าวของตนเองที่เคยโพสต์ข้อความระบุว่า "ไม่ต้องคุยกับเขมร เป้าหมายคือยึดพนมเปญเท่านั้น" ยืนยันว่ามีประสบการณ์สูง และเห็นว่าไทยควรยึดคืนพื้นที่ที่เป็นของไทยตามประวัติศาสตร์
มองว่ากัมพูชาไม่สามารถต่อสู้ทางกำลังรบกับไทยได้ และไม่ควรปล่อยให้กัมพูชา "มาเข็กหัวเล่น" หรือ "มานั่งเกเรทุกวี่ทุกวัน" ควรต้องสั่งสอนบ้าง ย้ำหากตนมีอำนาจ จะยึดคืนพื้นที่ที่เป็นของไทยทั้งหมด

อ่านข่าวอื่น :