ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

กต.เผยไทย-กัมพูชายังหารือวาระถก JBC หวังลดอุณหภูมิเผชิญหน้า

ต่างประเทศ
17:28
1,540
กต.เผยไทย-กัมพูชายังหารือวาระถก JBC หวังลดอุณหภูมิเผชิญหน้า
อ่านให้ฟัง
08:21อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
โฆษก กต.ยืนยันไทยจะใช้กลไกทวิภาคีแก้ปัญหาชายแดนกับกัมพูชา ส่วนวาระการประชุม JBC ยังอยู่ระหว่างหารือ 2 ฝ่าย แต่มีเรื่องสำรวจหลักเขตแดน พร้อมหวัง JBC ช่วยลดอุณหภูมิการเผชิญหน้า

วันนี้ (12 มิ.ย.2568) นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ฝ่ายไทยมุ่งมั่นที่จะใช้กลไกทวิภาคีในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมที่สุดในเวลานี้ ปัจจุบันนี้ไทยและกัมพูชามีกลไกทวิภาคี 3 กลไกหลัก คือ คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC), คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) และคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ซึ่งจะใช้ทั้ง 3 กลไกควบคู่กันไปในการเจรจากับกัมพูชา

นอกจากนี้ยังมีบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ซึ่งถือเป็นสนธิสัญญาที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้เจรจาตกลงกันไปแล้วและมีผลบังคับทางกฎหมายกับทั้ง 2 ฝ่ายที่จะต้องปฏิบัติตาม พร้อมกล่าวย้ำนโยบาย 3 เรื่อง คือ 1.ลดความตึงเครียดและทำให้ประชาชนในพื้นที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติ 2.ทำให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในเรื่องเส้นเขตแดน และ 3.ยืนหยัดปกป้องอธิปไตยโดยไม่ยอมให้ไทยเสียดินแดน

กลไก JBC ที่จะมีการประชุมร่วมกันในวันที่ 14 มิ.ย. เป็นกลไกทวิภาคีหลักในการเจรจาประเด็นทางเทคนิคและข้อกฎหมายด้านเขตแดนกับฝ่ายกัมพูชา เพื่อให้เกิดการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนระหว่างกัน ซึ่งถือว่าเป็นเวทีที่หารือเรื่องเขตแดนกับกัมพูชาโดยเฉพาะ

สำหรับ JBC มีการประชุมมาแล้ว 10 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดจัดที่กรุงเทพฯ เมื่อปี 2555 และจะมีการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ซึ่งจะครบรอบ 25 ปีของ MOU ด้วย โดยหนึ่งในข้อกำหนดสำคัญของ MOU ปี 2543 คือการอำนวยความสะดวกให้การสำรวจตลอดแนวทางบกร่วมกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล และให้ทั้ง 2 ฝ่ายงดเว้นการดำเนินการใดๆ ที่มีผลเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน

ขณะนี้การดำเนินการของ JBC ภายใต้ MOU ดังกล่าวยังอยู่ในกระบวนการพิสูจน์ทราบกระบวนการซ่อมแซมและจัดทำหลักเขตทั้ง 73 หลัก

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยที่ได้รับการแต่งตั้งจาก ครม.เมื่อวันที่ 29 พ.ย.2567 มีผู้เชี่ยวชาญจากหลายหน่วยงานที่มีความรู้ความสามารถ โดยมีนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย เป็นประธาน ซึ่งเป็นอดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ และเป็นที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศด้านเขตแดน

โฆษก กต. ย้ำว่า แม้ฝ่ายกัมพูชามีความตั้งใจจะใช้กลไกของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก แต่ประเทศไทยประกาศไม่ยอมรับเขตอำนาจของ ICJ มาตั้งแต่ปี 2503 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็มีอีก 118 ประเทศ รวมประเทศไทยเป็น 119 ประเทศ ที่ไม่ยอมรับเขตอำนาจของ ICJ

ไทยจะยึดมั่นการแก้ไขปัญหาผ่านกลไกทวิภาคี ซึ่งเป็นสิ่งที่ตกลงกันตั้งแต่แรกกับกัมพูชา

อย่างไรก็ตามขอให้มั่นใจว่าคณะผู้แทนไทยพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ ด้วยความรู้ความสามารถที่มีอยู่ ซึ่ง กต.ยืนยันในหลักการความเป็นมืออาชีพ โดยมีผลประโยชน์ของประเทศและคนไทยเป็นที่ตั้ง

โฆษก กต. ตอบคำถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับหัวข้อที่ฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาจะหารือกัน โดยระบุว่า วาระการประชุม JBC ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการหารือของทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งหนึ่งวาระที่มีอย่างแน่นอนคือการสำรวจร่วมในเรื่องหลักเขตแดนต่างๆ ส่วนเรื่องอื่นๆ ยังอยู่ระหว่างพูดคุยกัน

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ (กต.)

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ (กต.)

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ (กต.)

ส่วนกรณีที่มีการตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในการส่งนายประศาสน์ นำทีมคณะผู้แทนจากประเทศไทยไปเจรจา JBC กับกัมพูชานั้น โฆษก กต. กล่าวว่า นายประศาสน์มีความเชี่ยวชาญด้านเขตแดนดีที่สุดคนหนึ่ง ที่ผ่านมาทำงานอยู่กรมสนธิสัญญาและกฎหมายมาโดยตลอด อีกทั้งยังเป็นผู้อำนวยการกองเขตแดนด้วยตนเอง จนได้เป็นอธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ และออกไปเป็นเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ดังนั้นจึงเป็นผู้ที่มีความรู้ทั้งด้านพื้นที่ และมีความรู้เชิงเทคนิคในฐานะที่เป็นนักกฎหมาย และที่สำคัญมีความคุ้นเคยและได้รับการยอมรับจากข้าราชการในกรมสนธิสัญญาฯ ในการนำทีม

เมื่อถามถึงความคาดหวังหรือเป้าหมายของไทยในการประชุม JBC และความเป็นไปได้ที่จะทำให้กัมพูชากลับเข้าสู่ MOU โฆษก กต. กล่าวว่า กัมพูชาเชิญไทยไปประชุม JBC แปลว่ากัมพูชาอยู่ในกลไกอยู่แล้ว ซึ่ง JBC เป็นผลพวงของ MOU ที่ถูกตั้งขึ้นมา ดังนั้นการที่ไทยจะไปประชุม JBC ตามคำเชิญ ความหมายคือกัมพูชายอมรับใน MOU และกลไกที่ถูกตั้งขึ้นมา

ขณะเดียวกันไทยมีความตั้งใจที่จะบรรลุผล แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถพูดได้ 100% เพราะเกี่ยวข้องกับการเจรจาที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 14 มิ.ย. ทั้งนี้จะสามารถให้ข้อมูลว่าจะบรรลุผลหรือไม่หลังวันที่ 14 มิ.ย.ไปแล้ว

เราต้องการให้ JBC ครั้งนี้ช่วยลดอุณหภูมิของการเผชิญหน้าระหว่างกัน คือความหวังของไทยและเชื่อว่าจะเป็นความหวังของฝ่ายกัมพูชาด้วย ซึ่งเป็นเป้าหมายหลัก

ส่วนสิ่งที่จะทำให้เกิดเป้าหมายนั้นได้คือการสำรวจร่วมกัน หากมีความเห็นร่วมกันว่าหลักเขตแดนอยู่ตรงไหนและทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการลดอุณหภูมิและเป็นไปตามข้อกำหนดของ MOU โดยตรง

        "25 ปีที่ผ่านมาของการมีกลไก MOU ได้ปลดล็อกอะไรหลายอย่างตามแนวชายแดน 40 กว่าหลักเขต แต่ไม่ใช่ทุกปัญหาจะแก้ได้ใน 1 การประชุม JBC ขอให้มีการเริ่มเจรจาในที่ประชุม JBC เราก็สามารถติดตามด้วยการประชุมครั้งต่อๆ ไปได้ หรือเป็นการตกลงในกรอบกว้างว่า 2 ฝ่ายจะทำงานร่วมกันไปสู่อะไร ดังนั้นการเผชิญหน้า หรือมีความเห็นไม่ตรงกันที่ชายแดน หรือที่เกี่ยวข้องกับเขตแดน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตกลงกันได้ในการประชุม 1 ครั้ง จึงไม่อยากให้ตั้งความหวังว่าไปเจอกันที่ JBC ครั้งนี้แล้วจะมีการลากเส้นเขตแดนกันเสร็จทั้งหมด มีการเจรจามาอย่างต่อเนื่อง 25 ปี เพราะฉะนั้นก็คงจะมีการเจรจากันต่อไป" นายนิกรเดช กล่าว

อ่านข่าว

"ประศาสน์" นำทัพถก JBC ปมเขตแดนไทย-กัมพูชา เคลียร์ช่องบก

กกล.บูรพา ปรับมาตรการจุดผ่านแดน จ.สระแก้ว - อนุโลม นร.เดินข้ามช่วงเช้า-เย็น