ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยเผชิญปัญหารายได้ลด-ต้นทุนพุ่งอย่างรุนแรง ข้อมูลล่าสุดไตรมาส 2 ปี 2568 ดัชนีรายได้ปรับลดลงร้อยละ 1.11 ในขณะที่ดัชนีต้นทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.16 ส่งผลต่อสภาพคล่องและความอยู่รอด สอดคล้องกับผู้ประกอบการที่ระบุว่า ปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อทำให้หลายคนต้องหันไปขอสินเชื่อบุคคล หรือกู้นอกระบบ ซึ่งดอกเบี้ยสูงกว่ามาก จึงขอให้รัฐบาลมีมาตรการสนับสนุน
นายสุปรีย์ ทองเพชร ประธานสภาเอสเอ็มอี เสนอรัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีเร่งด่วนภายใน 4 เดือน มูลค่า 80,000 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งถูกซ้ำเติมจากปัญหาขาดแคลนแรงงานจากการที่แรงงานข้ามชาติลดลง
ทั้งนี้ เสนอมาตรการ 3 เสาหลักแก้ปัญหาเอสเอ็มอี แบ่งเป็น ลดภาระทางการเงิน ใช้งบประมาณ 55,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ, ลดหย่อนภาษี, อุดหนุนค่าสาธารณูปโภค, ขยายเวลาชำระหนี้ / มาตรการส่งเสริมการตลาด 15,000 ล้านบาท / มาตรการยกระดับทักษะและแก้ปัญหาแรงงานอีก 10,000 ล้านบาท
หากมาตรการนี้ได้รับการอนุมัติ คาดว่าจะช่วยรักษาการจ้างงานกว่า 2 ล้านคน เพิ่ม GDP ของภาคเอสเอ็มอีอย่างน้อยร้อยละ 3 และลดการพึ่งพาแรงงานข้ามชาติได้ถึงร้อยละ 30 ผ่านการยกระดับทักษะแรงงานไทยและการใช้เทคโนโลยี สร้างรากฐานให้เอสเอ็มอีไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน
ขณะที่นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ ระบุว่า ในปี 2568 เอสเอ็มอีไทยยังต้องเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทั้งการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีในภาคการผลิต ปัญหาเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนจนขาดสภาพคล่อง และสงครามการค้าที่กระทบต่อซัพพลายเชนทั่วโลก อาจถึงขั้นไม่สามารถอยู่รอดได้
สถานการณ์ของเอสเอ็มอีไทยในปี 2568 มีจำนวนกว่า 3.2 ล้านราย คิดเป็นร้อยละ 99.5 ของวิสาหกิจทั้งหมด มีการจ้างงานกว่า 13.4 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 68.8 ของการจ้างงานรวมทั้งประเทศ
อ่านข่าว
โจทย์ใหญ่ "ครม.เศรษฐกิจ" 4 เดือน เพื่อ 4 ปี?