ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

"COP30" วิกฤตอุณหภูมิ โลกร้อนเพิ่ม 2.8 ทิ้งเป้า 1.5 องศาเซลเซียส

ต่างประเทศ
18:13
78
"COP30" วิกฤตอุณหภูมิ โลกร้อนเพิ่ม 2.8 ทิ้งเป้า 1.5 องศาเซลเซียส
การประชุม COP30 เปิดฉากขึ้นแล้วที่บราซิล ได้รับการขนานนามว่าเป็น "COP แห่งความจริง" ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า โลกก้าวข้ามขีดจำกัดด้านอุณหภูมิจาก 1.5 องศาเซลเซียสตามข้อตกลงปารีสสู่ 2.0-2.8 องศาฯ นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ สหรัฐฯ ไม่ส่งคณะผู้แทนเข้าร่วมประชุม

การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ครั้งที่ 30 หรือ COP30  จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10–21 พ.ย.2568 ณ เมืองเบเลม ประเทศบราซิล โดย ปธน.บราซิล ลูอิซ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา กล่าวเปิดงานด้วยการประกาศว่านี่คือ "COP แห่งความจริง" หมายความว่า ยุคแห่งการประกาศเจตจำนงได้สิ้นสุดลง ถึงเวลาสำหรับการจัดทำแผนปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นวาระครบรอบ 10 ปีของข้อตกลงปารีส 

วาระหลักที่ต้องจับตามอง กำหนดโดยเจ้าภาพบราซิลภายใต้แนวคิด "Global Mutirão" หรือ การรวมพลังของประชาคมโลก  5 ประเด็น ได้แก่

  1. แผนลดก๊าซเรือนกระจก ประเทศภาคีต้องยื่นแผนใหม่สำหรับปี 2578 ต้องเพิ่มความมุ่งมั่นให้มากขึ้น เนื่องจากแผนปัจจุบันยังไม่เพียงพอ
  2. ภารกิจระดมทุน สรุปเป้าหมายทางการเงินใหม่ที่ต้องระดมทุนรวม 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี ให้ได้ภายในปี 2578 เพื่อสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในการเปลี่ยนผ่านพลังงานและรับมือผลกระทบ
  3. ทำให้ กองทุนความเสียหายและการสูญเสีย (Loss and Damage Fund) เดินหน้าได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีเงินทุนเพียงพอ เพื่อช่วยเหลือประเทศที่ประสบภัยพิบัติทางสภาพอากาศ โดยการประชุมจะเปิดรับคำขอรับทุนอย่างเป็นทางการครั้งแรก
  4. COP30 คือบททดสอบที่ประเทศต่าง ๆ จะต้องกำหนดตารางเวลาที่ชัดเจนในการเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในประเทศ
  5. การคุ้มครองป่าไม้และระบบนิเวศ บราซิลในฐานะเจ้าภาพได้เน้นย้ำความสำคัญของป่าเขตร้อน โดยเฉพาะป่าแอมะซอน ซึ่งเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนหลักของโลก ทำให้ COP30 ถูกขนานนามว่าเป็น "Forest COP"

อุณหภูมิโลกพุ่งเกิน 1.5 องศา มุ่งหน้าสู่ 2.8 องศาเซลเซียส

นักวิทยาศาสตร์และผู้นำระดับสูงต่างยอมรับใน COP30 ว่า การควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ณ สิ้นศตวรรษนี้ "เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้แล้ว" เช่นเดียวกับ เลขาธิการสหประชาชาติ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส ที่กล่าวว่า การที่อุณหภูมิโลกจะสูงเพิ่มเกิน 1.5 องศาเซลเซียสในช่วงต้นทศวรรษ 2030 นั้น เป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้

ข้อมูลวิทยาศาสตร์ยืนยันชัดเจนว่าในปี 2567 อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกสูงขึ้นอีก 1.6 องศาเซลเซียส ซึ่งเหนือระดับก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม และเป็นครั้งแรกที่ทะลุเป้า 1.5 องศาในรอบปีปฏิทิน

องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก คาดการณ์ว่ามีโอกาสถึงร้อยละ 70 ที่อุณหภูมิเฉลี่ยในช่วงปี 2568-2572 มีแนวโน้มจะสูงขึ้นถึง 2.4 องศาเซลเซียส และอาจพุ่งถึง 2.8 องศาเซลเซียสภายในสิ้นศตวรรษนี้

นั่นหมายถึงหายนะที่ไม่อาจย้อนกลับได้ เช่น ธารน้ำแข็งที่ขั้วโลกจะละลายเร็วขึ้น หากสามารถจำกัดไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นที่ 1.5 องศา ก็จะช่วยรักษาธารน้ำแข็งไว้ได้มากกว่า 2 เท่าของกรณีที่โลกอุ่นถึง 2.7 องศาเซลเซียส โดยร้อยละ 53 ของมวลธารน้ำแข็งจะคงอยู่

นอกจากนี้ การสูญเสียระบบนิเวศทางทะเลจะยิ่งหนักหน่วง หากอุณหภูมิเกิน 2 องศาเซลเซียส แนวปะการังในมหาสมุทรแอตแลนติกตะวันตกร้อยละ 99 จะเกิดการกัดเซาะภายในปี 2643 ส่งผลให้ระบบอาหารทะเลล่มสลายและพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลถอยร่นหรือหายไป

ไซมอน สติเอลล์ เลขาธิการ UNFCCC กล่าวในการประชุมว่า การที่หลายประเทศยังทะเลาะกัน ขณะที่ความอดอยากกำลังเข้ายึดครองพื้นที่ ภาพผู้คนนับล้านต้องอพยพจากบ้านเกิดจะไม่มีวันถูกลืม ภัยพิบัติกำลังทำลายชีวิตนับล้านทั้ง ๆ ที่ มีทางออกอยู่แล้ว

ประเด็นอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นนี้ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นการเตือนภัยที่บังคับให้ COP30 ต้องเร่งรัดแผนการลดก๊าซเรือนกระจกให้เข้มข้นมากกว่าเดิม มิเช่นนั้นโลกจะเข้าสู่ยุคหายนะอย่างถาวร เช่น ภัยแล้งรุนแรง น้ำท่วมบ่อย และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพที่มนุษย์ไม่อาจฟื้นฟูได้

สหรัฐฯ หายไป ความโล่งใจที่ไร้ "ตัวป่วน" แลกกับช่องว่างทางการเงิน

การถอนตัวของสหรัฐฯ จาก COP30 ยิ่งทำให้วิกฤตอุณหภูมิซับซ้อนและรุนแรงยิ่งขึ้น ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศไม่ส่งคณะผู้แทนอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการย้ำจุดยืนที่เคยกล่าวต่อสมัชชาใหญ่สหประชาชาติในเดือนกันยายน ที่ผ่านมาว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็น "การหลอกลวงครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นบนโลก" 

การไม่เข้าร่วมประชุม COP30  บวกกับการถอนตัวออกจาก สมาชิกข้อตกลงปารีส ที่จะมีผลในเดือนมกราคมปีหน้า ของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือทางการเงินด้านสภาพภูมิอากาศของโลก เพราะเงินทุนที่ได้จากสหรัฐฯ จะขาดหายไปอย่างน้อย 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ 6 ของเป้าหมายการระดมทุนที่ 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนระดมทุน 1.3 ล้านล้านดอลลาร์/ปีภายในปี 2578 เพื่อช่วยประเทศกำลังพัฒนาเปลี่ยนผ่านพลังงานและรับมือผลกระทบ

ขณะที่นักการทูตหลายคนมองอีกมุมว่าเป็น "ความโล่งใจ" การไม่มีสหรัฐฯ ดีกว่ามี เพราะสหรัฐฯ เสมือน "ตัวป่วน" ที่ชอบขัดขวาง The Guardian ชี้ว่าการหายไปของสหรัฐฯ เปิดโอกาสให้การเจรจาไหลลื่นขึ้น โดยชาติอื่นไม่ต้องกังวลกับพฤติกรรมข่มขู่ และอาจนำไปสู่ตารางเวลาที่ชัดเจนในการเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่เป็นธรรม

แต่ในอีกมุมหนึ่ง ก็อาจทำให้ชาติผู้ผลิตน้ำมันอื่น ๆ ลดความใส่ใจเรื่องลดโลกร้อน โดยอาจจะอยากตามรอยสหรัฐฯ ในการขุดเจาะมากขึ้น แล้วจะส่งผลให้อุณหภูมิโลกพุ่งใกล้ 2.8 องศาเร็วกว่าที่คิด ขณะที่ชาติที่ยากจนจะเดือดร้อนหนักที่สุด เพราะขาดเงินช่วย และเศรษฐกิจโลกอาจสะดุดจากความไม่แน่นอนทางการเงิน

ในขณะที่จีน จะก้าวขึ้นมาเติมช่องว่างด้วยบทบาทผู้นำเทคโนโลยีสะอาด เช่น รถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานแสงอาทิตย์ โดยมองตัวเองเป็น "รัฐไฟฟ้า" และผู้ผลิตสินค้ารักษ์โลกรายหลักของโลก ซึ่งช่วยอุดช่องว่างที่สหรัฐฯ ทิ้งไว้ แต่ก็เพิ่มแรงกดดันให้ชาติอื่นต้องเร่งตามให้ทัน

แต่แม้สหรัฐฯ จะถอนตัว แต่ยังมีผู้นำระดับท้องถิ่นกว่า 100 คนจากสหรัฐฯ เช่น ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย เกวิน นิวสัม และนายกเทศมนตรี เข้าร่วม COP30 เพื่อแสดงความมุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรช่วยลดโลกร้อน นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า แม้การกระทำของรัฐบาลทรัมป์ที่ต่อต้านวิทยาศาสตร์จะน่ากังวล แต่ข้อเท็จจริงคือ ไม่มีประเทศใดในโลกรวมทั้งสหรัฐฯ ที่จะสามารถหยุดยั้งการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศของโลกได้

ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย เกวิน นิวสัม

ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย เกวิน นิวสัม

ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย เกวิน นิวสัม

ความท้าทายของประเทศไทยในยุค "โลกเดือด"

สำหรับประเทศไทยซึ่งตั้งเป้าสู่ "ความเป็นกลางทางคาร์บอน" (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 และ "การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์" (Net Zero Emissions) รายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า ในปี 2608 ก็มีโอกาสเผชิญกับความเสี่ยงเชิงกายภาพสูงเช่นกัน หากไทยไม่มีนโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง ไทยจะมีความเสี่ยงเชิงกายภาพสูงเป็นลำดับที่ 4 ของโลก และคาดการณ์ว่าในปี 2591 GDP ของประเทศอาจจะลดลงถึงร้อยละ 43.6 ในกรณีที่อุณหภูมิสูงขึ้นไม่เกิน 3.2 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการท่องเที่ยวและภาคการเกษตรจะได้รับผลกระทบมาก

การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ส่งผลกระทบต่อหลายธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหิน และยานยนต์สันดาปภายใน ซึ่งต้องปรับตัวตามแรงกดดันจากทั้งนโยบายในประเทศและมาตรการการค้าระหว่างประเทศ เช่น มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดนของยุโรป ภาครัฐจึงถูกเสนอแนะให้ดำเนินมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นขึ้นตามลำดับ เพื่อหลีกเลี่ยงความจำเป็นต้องเร่งลดอย่างฉับพลันในภายหลัง

COP30 จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ประชาคมโลกจะต้องเดินหน้าจากคำพูดไปสู่การปฏิบัติที่ชัดเจน แม้จะต้องเผชิญหน้ากับความแตกแยกทางภูมิรัฐศาสตร์และภัยคุกคามด้านอุณหภูมิโลกที่เกินขีดจำกัดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทุกสายตาจึงจับจ้องไปที่เมืองเบเลม ประเทศบราซิล เพื่อดูว่าผู้นำโลกจะสามารถรวมพลังและหาทางออกสำหรับอนาคตที่ร้อนขึ้นได้อย่างไร

แหล่งที่มาข้อมูล : The guardianเอกสาร ผลกระทบของ GREEN TRANSITION ต่อภาคเศรษฐกิจจริง ใครได้ ใครเสีย โดย ธนาคารแห่งประเทศไทยUN CLIMATE SUMMIT

อ่านข่าวอื่น :

เกาหลีใต้ทุ่มสุดตัว สั่งหยุดบิน 30 นาที หนุน นร. สอบเข้ามหาวิทยาลัย

คณะ AOT ตรวจสอบจุดปะทะ "หนองหญ้าแก้ว" เก็บหลักฐานรอยกระสุน