ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

รบไทย-กัมพูชา “ทางเลือกสุดท้าย” ภายใต้กรอบความชอบธรรม

การเมือง
18:39
1,390
รบไทย-กัมพูชา “ทางเลือกสุดท้าย” ภายใต้กรอบความชอบธรรม
สถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา เข้าสู่วันที่ 9 แล้ว และยังไม่ได้ข้อยุติ กองกำลังของทั้งสองฝ่าย ยังมีการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง มีคำถามว่า ปฏิบัติการทางทหารและยุทธวิธีในเชิงลึกมีความจำเป็น และความชอบธรรมหรือไม่ ในการปกป้องอธิปไตยแผ่นดินไทย

นายก่อเขต จันทเลิศลักษณ์ ผู้อำนวยการสำนักข่าวไทยพีบีเอส สัมภาษณ์พิเศษ พล.อ.อ.ประภาส สอนใจดี ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้อำนวยการศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2568

พล.อ.อ.ประภาส กล่าวว่า กองทัพไม่ใช่ “นึกจะรบก็รบ” การเตรียมความพร้อมทางทหารเกิดขึ้นตั้งแต่ยามสงบ เพื่อป้องปรามและรักษาความสงบเรียบร้อย มีการเตรียมการมาตั้งแต่เหตุปะทะสะสมเดือนกรกฎาคม ก่อนจะถึงจุดเปลี่ยนสำคัญคือเมื่อเกิดเหตุเหยียบกับระเบิดซ้ำ แม้มีการเจรจาและการทูตแล้ว แต่ไม่สามารถยุติสถานการณ์ได้

“การใช้กำลังทหาร คือ หนทางสุดท้ายที่การเมืองหรือรัฐบาลเลือกใช้” แม้กองทัพจะสามารถตอบโต้ได้ทันที แต่เราไม่ทำ สิ่งแรกที่ทำคือ การอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ความขัดแย้งในช่วงวันที่ 7 ธันวาคม 68 ก่อนจะเริ่มปฏิบัติการตอบโต้เมื่อมีการยิงเข้ามาฝั่งไทย

พล.อ.อ.ประภาส เล่าว่า สถานการณ์พัฒนาต่อไป หลังจากวันแรกที่มีการตอบโต้ ปฏิบัติการทั้งหมดเป็นไปตามแผนป้องกันชายแดนของกองกำลังสุรนารี กองกำลังบูรพา และกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ครอบคลุมแนวรบยาว 800 กว่ากิโลเมตร ต้องใช้กำลังพลจำนวนมาก

เป้าหมายสุดท้ายของกองทัพ หรือ Military End-State ไม่ใช่การทำลายล้าง แต่คือการ “ลดทอนขีดความสามารถทางทหารของฝ่ายตรงข้ามให้เหลือน้อยที่สุด” เพื่อไม่ให้เป็นภัยคุกคามในอนาคต และเปิดทางให้รัฐบาลนำไปสู่การยุติความขัดแย้งทางการเมืองและการทูต จนปัจจุบันนี้เราลดทอนลงไปจำนวนมากแล้ว

“การดำเนินการของกองทัพทั้งหมดอยู่บนพื้นฐานของ Legitimacy หรือความชอบธรรมตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ การเลือกเป้าหมายต้องแยกชัดเจนระหว่างเป้าหมายทางทหารกับพลเรือน ใช้สัดส่วนกำลังที่เหมาะสม”

และกำลังทางอากาศมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนกองกำลังภาคพื้นดิน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่อาวุธระยะไกลของกองทัพบกไม่สามารถสนับสนุนได้ทันที เป้าหมายที่โจมตีจำกัดเฉพาะศูนย์บัญชาการ เส้นทางลำเลียง หรือโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร

แม้ฝ่ายตรงข้ามจะยิงอาวุธลงในพื้นที่ชุมชน แต่เราหลีกเลี่ยงการตอบโต้ในลักษณะที่จะกระทบต่อประชาชน การลดผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์คือสิ่งสำคัญที่สุด เราต้องพูดให้ชาวโลกรับรู้ว่าการกระทำดังกล่าวผิดกฎหมาย

สงครามสมัยใหม่ ชัยชนะไม่ใช่การทำลายให้สิ้นซาก ทฤษฎีการทำสงครามในอดีต สงครามโลกครั้งที่ 1 สงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามเกาหลี คือทำลายให้สิ้นซาก

แต่แนวคิดการรบในปัจจุบันแตกต่างจากสงครามโลกที่ผ่านมา ไม่ใช่การทำลายล้างทั้งหมด แต่เป็น Effect-based Operations “ปฏิบัติการบนพื้นฐานของผลกระทบ” ต้องใช้เวลา ไม่ได้ยืดเยื้อ เช่น การตัดคลังอาวุธ และการโดดเดี่ยวสนามรบ สะพาน คือ เส้นทางส่งกำลังบำรุง ขนอาวุธ เป็นการตัดเส้นทางลำเลียง หยุดเขาไม่ให้มาเป็นภัยคุกคามกับเรา อันนี้คือหลักการทั่วโลก เรายึดหลักมนุษยธรรมอยู่แล้ว เราไม่ทำร้ายประชาชน เราแยกเป้าหมาย เพราะอาวุธเราเป็นอะไรที่แม่นยำ

ตัวชี้วัดความสำเร็จ (Measure of Performance / Measure of effectiveness) ในทางการทหารเรามีนะ ที่เห็นได้ชัดคือ ความถี่และความรุนแรงของการยิงที่ลดลง การควบคุมพื้นที่ และความยากในการฟื้นฟูขีดความสามารถของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานเป็น 10 ปี

"อย่าลืมนะความขัดแย้งครั้งนี้ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างชาวกัมพูชากับชาวไทย เป็นเรื่องจากนโยบายทางการเมือง แล้วก็เรื่องของเส้นเขตแดนที่เราต้องการเอาคืน เราเชื่อว่าที่นั่นคือของเรา มีการปะทะแล้วสำคัญที่สุด เราไม่ต้องการไปยึดครองเขา ถ้าเป็นลักษณะการลุกเข้าไปเพื่อยึดครองเหมือนสงครามสมัยใหม่นะ เขาจะโดนยิ่งกว่านี้อีก แต่เราแค่ ปะทะและประคองไว้"

สำหรับบทบาทของศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ไทย-กัมพูชานั้น พลอากาศประภาส อธิบายการทำงานว่า ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ไม่ได้ทำงานอย่างโดดเดี่ยว ต้องรับนโยบายจากรัฐบาล จากกระทรวงต่างประเทศมาเพื่อทำการสนับสนุน การสนธิกำลังจากหน่วยต่าง ๆ ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลที่กระจัดกระจายและกลั่นกรองข้อเท็จจริง ถ่ายทอดต่อประชาชนและสื่อมวลชน เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ลดความตื่นตระหนก และต่อสู้กับข่าวปลอมด้วย “ความจริง”

เรายังนำเสนอข้อมูลข่าวสารจากศูนย์แถลงข่าวฯ สื่อสารถึงประชาคมโลกมากถึง 15 ภาษา ส่งไปยังสถานทูตและผู้ช่วยทูตทหารกว่า 90 ประเทศ เพื่ออธิบายความจริงและความชอบธรรมของการปฏิบัติการไทย

นอกจากนี้ พล.อ.อ.ประภาส ยังประเมินสถานการณ์การสู้รบว่า “การรบทุกครั้งย่อมจบลงด้วยการเจรจา หรือ Exit Strategy หรือ ยุทธศาสตร์การออกจากความขัดแย้ง “ถ้าให้คะแนนเต็ม 10 ตอนนี้ผมให้ประมาณ 8” เขากล่าว พร้อมระบุว่า อีก 2 คะแนนขึ้นอยู่กับฝ่ายกัมพูชาว่าจะยุติการใช้กำลังและเข้าสู่การพูดคุยด้วยความจริงใจหรือไม่” ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ บอกว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่มีการสนธิกำลัง 3 เหล่าทัพอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งภาคพื้นดิน อากาศ และทะเล ภายใต้การสนับสนุนของตำรวจ ภาคประชาชน และฝ่ายการเมือง

“เราใช้กำลังเต็มที่ในฐานะศักดิ์ศรี ในฐานะสิ่งที่เราฝึกมา ภาษีประชาชนที่หล่อหลอมฝึกกันมาตลอด แล้วใช้ในภารกิจ สิ่งหนึ่งที่เห็นแล้วทั่วโลกยอมรับ คือ กองทัพอากาศ World Class เลย การใช้อาวุธแบบนี้ ไม่ใช่นึกจะทำก็ทำได้ มันจะต้องเป็นมีการฝึก มีความแม่นยำครับ แล้วผมอยากจะพูดแล้วชื่นชม ผมไม่ได้พูดถึงกองทัพอากาศอย่างเดียว แต่ว่าที่ผมเห็นกับตาก็คือ ไปพบน้องบอกว่าใครอยากจะบินบ้าง ยกมือกันทั้งห้อง ต้องมาจัดคิวว่าใครอาวุโสใครชั่วโมงบินมากกว่า”

พล.อ.อ.ประภาส ย้ำว่า การสนับสนุนจากประชาชนคือหัวใจสำคัญของความสำเร็จ การใช้กำลังทางทหารในครั้งนี้ ไม่ใช่การเลือกทางลัด แต่เป็นทางเลือกสุดท้าย ภายใต้กรอบความชอบธรรม กฎหมายระหว่างประเทศ และการคำนึงถึงชีวิตประชาชนเป็นอันดับแรก เป้าหมายไม่ใช่ชัยชนะเชิงการทำลายล้าง แต่คือการยุติความขัดแย้ง และเปิดทางสู่การเจรจาอย่างยั่งยืน

สิ่งที่ดีที่สุด คือไม่ต้องใช้กำลัง และไม่ต้องตั้งศูนย์แถลงข่าวใด ๆ เลย

ไทยยืนยัน 3 เงื่อนไข ย้ำ "กัมพูชา" ต้องหยุดยิงก่อน

เขมรยิง BM-21 กระสุนตก 92 จุด สิ่งปลูกสร้างเสียหาย 23 หลัง

ปะทะ "ช่องสายตะกู" ทำไฟไหม้คลังเก็บโดรนทิ้งระเบิด-ฐานสแกมเมอร์