ถอดบทเรียน
แม้มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2554 ที่เห็นชอบตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 3 ในมาตรการทำให้สังคมไทยไร้แร่ใยหิน โดยให้ยกเลิกการใช้แร่ใยหินภายในปี 2555 แต่ข้อเท็จจริงพบว่า ยังมีการนำเข้าแร่ใยหิน กว่า 46,000 ตัน มูลค่ากว่า 700 ล้านบาท แม้ปริมาณจะลดลงหากเทียบกับ 5ปีที่ผ่านมา
สาเหตุที่ตัวเลขการนำเข้าลดลง เนื่องจากขณะนี้มีเพียง 2 บริษัทเท่านั้น ที่ยังคงนำเข้าแร่ใยหินไคโซไทล์ โดยอ้างถึงผลกระทบต่อสุขภาพที่ยังไม่ชัดเจน รวมถึงท่าทีของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่แตะถ่วงการยกเลิกแร่ใยหินออกไป โดยขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำแผน ยกเลิกการนำเข้า ผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์แร่ใยหิน ที่กำหนดไว้ถึง 5 ปี
ประธานคณะทำงานการพัฒนาคุณภาพชีวิต สาธารณสุข และคุ้มครองผู้บริโภค สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มองว่า เป็นความพยายามของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่คอยช่วยเหลือภาคธุรกิจ โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดกับสุขภาพของประชาชน
ขณะนี้มีกว่า 50 ประเทศทั่วโลกที่ยกเลิกการใช้แร่ใยหิน เนื่องจากส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน อย่างประเทศไต้หวัน แม้จะเป็นประเทศหลังๆ ที่นำเข้าแร่ใยหิน แต่เมื่อพบผู้ป่วยโรคมะเร็งจากแร่ใยหิน และข้อมูลทางการแพทย์ยืนยันผลกระทบทางสุขภาพที่เกิดในหลายประเทศ ทำให้รัฐบาลไต้หวัน ประกาศให้ภายในเดือนมีนาคมปีหน้า ผลิตภัณฑ์กระเบื้องหลังคาจะต้องปราศจากแร่ใยหินทั้งหมด
รศ.ภก.วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้จัดการแผนงานคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสุขภาพ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า ภาครัฐ และผู้ประกอบการของไทย ให้ความสำคัญกับผลการศึกษาและประเมินความเสี่ยงค่อนต่ำ ทั้งๆ ที่มีบทเรียนจากกว่า 50 ประเทศที่ยกเลิกใช้แร่ใยหิน จาก 3 ปัจจัย คือ พบการเจ็บป่วย มีระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพ สิทธิผู้บริโภคที่ดี และเข้าถึงข้อมูล ข้อเท็จจริง
แม้ขณะนี้บริษัทผู้ผลิตกระเบื้องบางราย จะยืนยันถึงความจำเป็นใช้แร่ใยหินต่อไป แต่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ก็เรียกร้องไปยังรัฐบาล ต้องเร่งรัดการยกเลิกนำเข้า การผลิต จำหน่ายสินค้าที่มีส่วนประกอบแร่ใยหิน และหาวัตถุดิบทดแทนแร่ใยหิน ภายในปี 2556 โดยเริ่มจากผลิตภัณฑ์ 5 ประเภท คือ กระเบื้องแผ่นเรียบ, กระเบื้องยางปูพื้น, ผ้าเบรกและคลัทซ์, ท่อซีเมนต์ใยหิน และกระเบื้องมุงหลังคา รวมถึงเพิ่มมาตรการด้านการรื้อถอนให้มีความปลอดภัย