ข้อต่อสู้ของ “ครอบครัวชินวัตร” ในคดียึดทรัพย์
คำแถลงปิดคดีของอัยการสูงสุดยืนยันถึงข้อกล่าวหา “ร่ำรวยผิดปกติ” ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมตรี และภริยา ต่อกรณีปกปิดการถือหุ้นบริษัท ชินคอร์ปฯ กว่า 1,419 ล้านหุ้น รวม76,000 ล้านบาท โดยมีบุตรและญาติพี่น้องเป็นผู้ถือแทนแม้จะอ้างการขายหุ้นให้บุคคลทั้งหมดด้วยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินแต่พบข้อพิรุธในตั๋วสั่งจ่าย ถูกจัดทำขึ้นภายหลัง ส่วนหุ้นชินคอร์ปฯที่ถือโดยบริษัทแอมเพิลริชฯ และหุ้นชินคอร์ปฯที่ถือโดยบริษัทวินมาร์ค ซึ่งมีธนาคารยูบีเอส เป็นผู้จัดการดูแลหุ้น ก็พบว่าเป็นการโอนระหว่างบุคคล ที่แจ้งต่อก.ล.ต.ย้อนหลังถึง 6 ปีและแม้จะซื้อ ขาย หรือโอนหุ้นกันตามขั้นตอน แต่เงินที่ซื้อ-ขาย หรือ ปันผล ยังคงไหลกลับเข้าบัญชีของคุณหญิงพจนมาน และเมื่อรวมหุ้นทั้งหมดเข้าด้วยกัน และขายให้กลุ่มเทมาเส็กรายได้ทั้งหมดยังตกเป็นของบุคคลเดิมทั้งสิ้น
ขณะที่พ.ต.ท.ทักษิณยื่นคำแถลงปิดคดียืนยันการโอนหุ้นทั้งหมดให้ผู้อื่นก่อนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพร้อมระบุว่า เงินทั้งหมดเป็นของครอบครัวและเป็นเงินบริสุทธิ์รวมถึงข้อเห็นแย้งต่อข้อกล่าวหาทั้ง 5 ข้อและ ตั้งข้อสังเกตุถึงคุณสมบัติ ของคตส.ตลอดจนการปฏิวัติรัฐประหาร ต่างเป็นเรื่องทางการเมืองทั้งสิ้น
ส่วนคุณหญิงพจมาน นำประเด็นเหตุผลมาหักล้างข้อกล่าวหารวม 14 ข้อโดยยืนยันถึงทรัพย์สินพันล้านบาทที่เป็นทรัพย์เดิมที่มีมาก่อนและการขายหุ้นให้ลูกและญาติในราคาที่ต่ำถือเป็นการเอื้ออาทรกัน
ส่วนกรณีมอบหมายให้ นางกาญจนาภา หงษ์เหิน หรือผู้ชำนาญการพิเศษ เป็นผู้ดำเนินการแทน คือเรื่องปกติของผู้ไม่มีความรู้เรื่องหุ้นโดยตรง ทั้งนี้ยังอ้างอิงว่า เศรษฐีเมืองดูไบเป็นเจ้าของบริษัทวินมาร์คตัวจริง
ส่วนนายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา นอกจากแก้ข้อกล่าวหา รวม 15 ประเด็นแล้ว ยังอ้างความเป็นเจ้าของในทรัพย์สิน 40,000 ล้านบาท ก่อนพ.ต.ท.ทักษิณ จะรับตำแหน่งทางการเมือง และเป็นผู้รับประโยชน์จากทรัพย์ทั้งหมด
โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กำหนดสิ้นสุดการรับคำแถลงปิดคดีจากผู้ร้อง ผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้าน 22 คนในวันที่ 12 ก.พ.นี้ โดย ครอบครัวชินวัตร ต่างแยกประเด็นและทนายในการต่อสู้คดี
ขณะที่องค์คณะผู้พิพากษาคดีในคดียึดทรัพย์5 ใน 9 คนต่างมีประสบการณ์ตรงในการทำงานผ่านข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับพ.ต.ท.ทักษิณว่า ด้วยการทุจริตมาแล้ว