วันนี้ (27 มี.ค.2560) นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สะท้อนมุมมอง และความคาดหวังที่เป็นปลายทางของระบบสุขภาพในงานเสวนา "เชื่อมสถาบัน สานเครื่อข่าย DHS academy สู่ศตวรรษที่ 21" ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ว่า การปฏิรูปสถาบันสู่การพัฒนาการเรียนการสอนบุคลากรสุขภาพ แบบ “ทรานส์ฟอร์มเมทีฟ เลิร์นนิง” จะช่วยสร้างระบบบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการขาดแคลนบุคคลากรด้านสุขภาพ
ไทยยังขาดแพทย์ทั่วไป ดูแลใกล้ชิดชุมชน
นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ รองประธานกรรมการ มูลนิธิเพื่อการพัฒนาการศึกษาบุคลากรสุขภาพ (ศสช.) กล่าวว่า ปัญหาสุขภาพในชุมชนส่วนใหญ่ไม่ใช่โรคที่ซับซ้อนที่จะต้องใช้แพทย์เฉพาะทางในการรักษา และโรงเรียนแพทย์ปัจจุบันไม่ได้เชื่อมโยงไปถึงชุมชน การเข้าถึงชุมชนจะเกิดขึ้นหลังจบการศึกษาแล้ว ที่ผ่านมาเป็นการเรียนรู้แบบเป็นส่วนๆ เฉพาะโรค เฉพาะอวัยวะ ไม่ใช่การเรียนรู้แบบองค์รวม
นพ.สุวิทย์ บอกอีกว่า ปัจจุบันไทยผลิตแพทย์ทั่วไปเพียงร้อยละ 10 ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแพทย์เฉพาะทาง ขณะที่กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น และประเทศในยุโรป ที่แพทย์ทั่วไปจะเป็นที่ยอมรับในสังคมมากกว่า เพราะมีความใกล้ชิดกับสังคมแต่ละท้องที่อีกทั้งยังทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาเรื่องสุขภาพกับคนในชุมชน มีการติดตามปัญหาอย่างต่อเนื่องแตกต่างจากบ้านเราทุกวันนี้ที่ที่คนไข้บางคนต้องมีแพทย์เฉพาะทาง 4-5 คน ในการดูแลสุขภาพ ไปโรงพยาบาลครั้งหนึ่งก็ต้องใช้เวลาทั้งวัน อย่างไรก็ตาม การกระจายนักเรียนแพทย์ไปสู่ต่างจังหวัด เหมือนเป็นการกระจายความเจริญด้านการแพทย์ไปสู่ชนบท ซึ่งเป็นการวางระบบบริการสุขภาพในระยะยาว
นำร่องส่งแพทย์เข้าถึงกลุ่มชาติพันธ์ุ
พล.ท.ศ.เกียรติคุณ นพ.นพดล วรอุไร คณบดีสำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเน้นพัฒนาแพทย์ที่มีหัวใจเพื่อชุมชน ผ่านหลักสูตรเวชศาสตร์ชุมชน โดยให้บัณฑิตเรียนรู้จากสถานการณ์จริงในพื้นที่ชายแดน ซึ่งมีความหลากหลายทางเชื้อชาติและโรคระบาดข้ามพรมแดน พร้อมปลูกฝังจิตสำนึกบริการและความเข้าใจปัญหาสุขภาพของกลุ่มเปราะบาง
"กลุ่มนักศึกษาแพทย์จะได้เรียนรู้เรื่องโรคบางชนิดที่ไม่เคยพบในไทยเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีคนต่างชาติเดินทางข้ามพรมแดนเข้ามาใน จ.เชียงราย ซึ่งบางส่วนนำโรคระบาดมาจากฝั่งเมียนมา ลาว และเข้ารักษาตัวที่ อ.เชียงแสน และ อ.แม่สาย ขณะที่นักศึกษาจำนวนมากที่อยากมาเรียนแพทย์นั้นต้องการสร้างความมั่นคงให้ชีวิตมากกว่าที่จะคิดทำเพื่อประชาชน ชุมชน ฉะนั้นหลักสูตรการเรียนการสอนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญในการบ่มเพาะนักศึกษาแพทย์ให้มีใจบริการ เป็นแพทย์ที่มีคุณภาพ มีใจรักคนในชุมชน"
ด้าน ทพ.วีระ อิสระธานันท์ หัวหน้ากลุ่มงานทันตกรรม โรงพยาบลแม่จัน จ.เชียงราย กล่าวเสริมว่า พื้นที่ อ.แม่จัน มีประชากรกลุ่มชาติพันธุ์ร้อยละ 30 ซึ่งเข้าถึงบริการน้อยกว่าประชาชนทั่วไป โดยในกลุ่มนี้มีทั้งผู้ที่มีสัญชาติไทยมีบัตรประชาชน และยังไม่มีบัตรประชาชน พบว่ากลุ่มชาติพันธุ์มีปัญหาทางทันตกรรมค่อนข้างมาก
การที่แพทย์ นักศึกษาแพทย์ และทีมสหวิชาชีพลงพื้นที่ให้บริการตามโรงเรียนและชุมชนห่างไกลบนภูเขา โดยไม่แบ่งแยกผู้มีหรือไม่มีบัตรประชาชน ถือเป็นโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนรู้ประสบการณ์จริง เข้าใจชีวิตของผู้ป่วย และเข้าถึงรากของปัญหาสุขภาพในชุมชนอย่างแท้จริง
WHO ชมไทยผลิตแพทย์โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน
นพ.แดเนียล เอ. เคอร์เทสช์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลก (WHO) ประจำประเทศเทศไทย กล่าวว่า การปฏิรูประบบสาธารณสุข ไม่ควรมุ่งเพียงเพิ่มจำนวนบุคลากร แต่ต้องสร้างบุคคลากรที่เข้าใจเรื่องชุมชนด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยประเทศไทยถือเป็นตัวอย่างที่ดีในการทำงานเรื่องนี้อย่างจริงจังและมีความก้าวหน้ากว่าหลายประเทศ เพราะวางระบบการศึกษาและการผลิตแพทย์ โดยใช้ชุมชนเป็นฐานเพื่อยกระดับสุขภาวะของประชาชนอย่างยั่งยืน
WHO พร้อมให้การสนับสนุน และเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในเรื่องของการพัฒนาบุคคลากรสุขภาพของไทยให้ต่างประเทศทราบต่อไป
ชี้ "หมอพื้นบ้าน" จำเป็นต่อชุมชน
นายชัชวาลย์ หลี่ยา สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลป่าตึง อ.แม่จัน จ.เชียงราย กล่าวว่าหมอพื้นบ้านยังคงเป็นที่พึ่งของคนในชุมชน เพราะมีความรู้และวิธีการรักษาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวบ้าน นอกจากนี้ ในการรักษาโรค ยังเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น ชาวละหู่ ที่เมื่อเจ็บป่วยมักทำพิธีกรรมหรือใช้สมุนไพรพื้นบ้านรักษากันเอง
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประชาชนกว่า ร้อยละ 90 มีบัตรประชาชน ทำให้สามารถเข้าถึงสิทธิการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลของรัฐได้มากขึ้น ปัญหาเรื่องสุขภาพก็ถือว่าดีขึ้น แต่บางพื้นที่ "ภาษา" ยังเป็นอุปสรรคในการสื่อสารของผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ เพราะชาวบ้านสูงอายุส่วนใหญ่พูดภาษาไทยไม่ได้ ต้องใช้ภาษาถิ่นในการสื่อสาร ซึ่งมีทั้งภาษาจีน ภาษาลาหู่ เป็นต้น ทำให้การอธิบายอาการและการสื่อสารกับบุคลากรทางการแพทย์เป็นไปด้วยความยากลำบาก
นายชัชวาลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้หมอพื้นบ้านและสมุนไพรจะยังมีบทบาทสำคัญ แต่ก็ยังไม่สามารถรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นที่จะต้องใช้บริการสุขภาพของหน่วยงานของรัฐ เช่น โรงพยาบาลสาธารณสุขประจำตำบล เพื่อให้ได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากกว่า
อ่านข่าว : MFLF Sustainability Forum 2025 เสวนา "วิกฤตโลก ทางออกไทย"











