นับจากวันที่ "บิลลี่ หายตัว" แก่งกระจานก็อยู่ภายใต้ความหวาดกลัว
ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาจำคุก 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ด้วยความผิดฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีที่เขาควบคุมตัว "บิลลี่" นายพอละจี รักจงเจริญ ชาวกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นแกนนำต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิทำกินในป่าแก่งกระจาน ฐานครอบครองน้ำผึ้งป่า แต่ไม่ส่งมอบตัวให้ตำรวจตามขั้นตอน และ บิลลี่ หายตัวไปตั้งแต่วันนั้น ... วันที่ 17 เม.ย.2557
อ่าน : “ชัยวัฒน์” ได้ประกัน ม.157 “คดีบิลลี่” จ่ออุทธรณ์
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhabRxjJWL2IaJV6yqCzj0Qmhp4a.jpg)
3 ก.ย.2562 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงค้นพบชิ้นส่วนกะโหลกของมนุษย์ อยู่ก้นถังขนาด 200 ลิตร ที่ผ่านความร้อนมากกว่า 200 องศาเซลเซียส ที่ใต้สะพานแขวนข้ามแอ่งน้ำที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ร่วมแถลงผลการตรวจ "ไมโตรคอนเดรีย DNA" ยืนยันว่า เป็นชิ้นส่วนกะโหลกของ "บิลลี่" เพราะมีสาย DNA ตรงกับมารดา นำไปสู่การเดินหน้าหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม จนกระทั่งดีเอสไอแจ้งหลายข้อหาหนักกับนายชัยวัฒน์และพวก รวมถึงข้อหา กักขังหน่วงเหนี่ยวจนทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และข้อหาร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แต่ศาลชั้นต้นพิพากษา "ยกฟ้อง" ข้อหาหนักเหล่านี้ เพราะไม่มีพยานหลักฐาน
พิพากษาจำคุกเฉพาะข้อหา ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมระบุว่า พบข้อพิรุธในคำให้การหลายจุดในวันที่บิลลี่หายตัวไป
เกิดอะไรขึ้นในวันที่ 17 เม.ย.2557 .... ย้อนเวลากลับไป ผ่านความทรงจำของทีมทนายความ และนักข่าวที่ติดตามปัญหาความขัดแย้งในบ้านบางกลอย ป่าแก่งกระจาน มาตั้งแต่ปี 2554
17 เม.ย.2557
"วันนั้นเรามีนัดกับบิลลี่ ที่ห้างแห่งหนึ่งในตัวเมืองเพชรบุรี เพื่อจะคุยเตรียมการกันเกี่ยวกับการไปขึ้นศาล ในคดีที่เราฟ้องเจ้าหน้าที่อุทยานมาเผาบ้าน แต่รอจนถึงประมาณ 4 โมงเย็นแล้ว บิลลี่ก็ยังไม่มา เราก็เริ่มแปลกใจ และพอดีผู้ใหญ่บ้านที่บางกลอย โทรมาถามเราว่าเจอบิลลี่ไหม เพราะเขาก็มีนัดกับบิลลี่เหมือนกัน แต่ ณ วันนั้น เราก็ยังไม่คิดว่าบิลลี่หายไปนะ"
ทิพย์วิมล ศิรินุพงศ์ อนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความฯ
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhabRxjJWL2IaJVrUC2Hx4oQZcnY.jpg)
ทิพย์วิมล หรือ ตาล คือหนึ่งในทีมทนายความคดีเผาบ้านชาวกะเหรี่ยงบางกลอย จากเหตุการณ์เมื่อปี 2554 หน้าที่ของตาล คือ การเป็นผู้ประสานงานระหว่างทีมทนายกับผู้ฟ้องคดี คือ ปู่คออี้ หรือ นายอิ มีมิ ผู้นำชาวกะเหรี่ยงวัยกว่า 100 ปี และชาวบ้านบางกลอย
ตาล จึงเป็นบุคคลที่ไม่ใช่ชาวกะเหรี่ยง และได้พูดคุยกับบิลลี่มากที่สุด เพราะขณะที่ตาลเป็นผู้ประสานฝั่งทนายความ บิลลี่ ที่เป็นหลานชายโดยตรงของปู่คออี้ ก็มีสถานะเป็นเหมือนทั้งตัวแทนของปู่คออี้ และเป็นคนประสานแทนชาวบ้านคนอื่นๆทั้งหมดด้วย เนื่องจากเขาเป็นชาวกะเหรี่ยงที่อ่านและเขียนภาษาไทยได้ เพราะเรียนจบชั้น ม.6 มาจากโรงเรียนป่าเด็งวิทยา
"บิลลี่ เป็นคนช่างพูด ช่างถาม วันที่เขาหายไปเรายังไม่ได้คิดถึงการถูกอุ้มหาย เราคิดว่าเขาอาจจะไปภารกิจอะไรสักอย่าง จนผ่านไปประมาณ 3 วัน มึนอ (ภรรยาของบิลลี่) ก็มาบอกเราว่า พี่บิลลี่เคยพูดไว้ว่า เขามีโอกาสที่จะหายตัวไปนะ เราเลยมาคิดย้อนหลังไปดู จึงจำได้ว่า บิลลี่เคยพูดไว้กับเราเหมือนกัน เป็นข้อความเดียวกันเลย เขาบอกไว้ว่า ให้ทุกคนรู้ไว้นะว่า ถ้าเขาหายไป เขาไม่มีศัตรูที่ไหน เขามีความขัดแย้งอยู่เรื่องเดียว คือเรื่องสิทธิการอยู่อาศัยในป่า" ทนายตาล เล่าความหลังเมื่อปี 2557
พอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ กลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อการลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิอันชอบธรรมในการอยู่อาศัย ตามวิถีดั้งเดิมที่ป่าแก่งกระจาน หลังเกิด "ยุทธการตะนาวศรี" ที่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เข้าไปขับไล่ชาวกะเหรี่ยงที่กลับเข้าไปอาศัยอยู่ในป่าบริเวณที่เรียกว่า "บางกลอยบน" เมื่อปี 2554 เพราะไม่สามารถทำกินบนที่ดินที่ได้รับการจัดสรรไว้ให้ได้ โดยการขับไล่ พบหลักฐานการเผาบ้าน และตั้งข้อหารุนแรง อยู่ในรายงานที่ทางอุทยานฯ นำเสนอในที่ประชุมจังหวัดเพชรบุรี
![](https://news.thaipbs.or.th/media/BRpLwT0TYaGXOF4tVwBKpepInnBgv8mVJQW7xuQdXiQeM.jpg)
หลังเกิดเหตุการณ์นี้ บิลลี่ หลานชายของปู่คออี้ ผู้นำชาวกะเหรี่ยง ได้เข้ามาทำหน้าที่ผู้ประสานงาน เป็นล่ามระหว่างชาวกะเหรี่ยงกับทีมทนายและองค์กรภายนอกที่เข้ามาช่วยเหลือ รวมทั้งเป็นผู้รวบรวมข้อมูลชุมชน ทำแผนผังต้นตระกูล จัดทำแผนที่ชุมชนย้อนหลังไปในอดีต ซึ่งต่อมาถูกใช้เป็นหลักฐานที่ส่งให้ศาลปกครองพิจารณา
จนกระทั่งบิลลี่มาหายตัวไปในอีก 3 ปีต่อมา หลังจากที่ก่อนหน้านี้ นายทัศน์กมล โอบอ้อม นักการเมืองท้องถิ่นที่ออกมาเปิดเผยถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นในป่าแก่งกระจาน ถูกยิงเสียชีวิตปริศนามาก่อนหน้านั้นแล้ว
เกิดอะไรขึ้นกับคดี "บิลลี่"
"วันนั้นเราอยู่บ้านที่ จ.พัทลุง ประมาณสัก 6 โมงเย็น มีโทรศัพท์มาบอกว่า บิลลี่ลงมาจากบ้านบางกลอยแล้วหายไป .... พอเรากลับมา ก็พบว่า เราทำอะไรกับคดีบิลลี่แทบไม่ได้เลยในช่วงแรก"
วราภรณ์ อุทัยรังสี ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากปู่คออี้ในคดีเผาบ้านชาวกะเหรี่ยงบางกลอย
วราภรณ์ หรือ แป๋ม เป็นทนายคู่กับ ตาล ในคดีของชาวกะเหรี่ยงแก่งกระจาน แป๋มมีหน้าที่ทำคำฟ้อง ประสานกับองค์กรอื่นๆ ในการทำคดี แต่ในช่วงแรกที่บิลลี่หายตัวไป ก็ต้องมาทำคดีของบิลลี่ก่อน แต่เธอก็พบว่า แทบจะทำอะไรไม่ได้เลยในคดีคนหาย
ปี 2557 ยังไม่มีกฎหมายป้องกันการสูญหาย จึงแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย บิลลี่หายไปอาทิตย์หนึ่งแล้ว ทำได้เพียงแค่แจ้งความคนหาย และมาติดตามการทำงานของทางตำรวจ เพราะไม่มีทั้งพยานและหลักฐานอะไรให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้เลย ถามใครก็บอกว่า ไม่รู้ ไม่เห็น เหมือนทุกคนไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมา
ส่วนทนายตาล ให้ข้อมูลไปในทิศทางเดียวกันว่า บรรยากาศในพื้นที่แก่งกระจานเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ทีมทนายความแทบไม่ได้ข้อมูลอะไรเลยไม่ว่าจากฝ่ายไหน แม้แต่จากชาวบ้านเอง ในช่วงแรกทีมทนายไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ก่อนที่บิลลี่จะหายตัวไป เขาถูกควบคุมตัวไว้โดยเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เพราะมีน้ำผึ้งป่าในครอบครอง
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhabRxjJWL2IaJVojr8T8zoWgJcc.jpg)
แม้แต่เรื่องน้ำผึ้ง เราก็มาเพิ่งมารู้ทีหลัง ก่อนหน้านั้นทางเจ้าหน้าที่เขาเปิดเผยเองว่า เขาควบคุมตัวบิลลี่ไว้จริงในวันที่ 17 เม.ย.2557 เพราะมีน้ำผึ้งป่า 3-4 ขวด และปล่อยตัวไปแล้ว เราจึงจัดงานกัน จนเราจัดงานในวันที่บิลลี่หายไปครบ 30 วัน เราถึงเพิ่งได้ข้อมูลว่า บิลลี่นำน้ำผึ้งลงมาจากบางกลอยมากกว่าข้อมูลที่เจ้าหน้าที่อุทยานบอกไว้ ทั้งที่ นี่เป็นจุดที่สำคัญต่อการตามหาตัวบิลลี่มากเลย
เพราะถ้าเรารู้เร็วกว่านี้ว่าบิลลี่นำน้ำผึ้งลงมาเยอะ ถูกจับกุมที่ไหน การเริ่มต้นติดตามก็จะง่ายขึ้นมาก แต่เรามารู้ในตอนที่การติดตามทำได้ยากแล้ว ... มันสะท้อนว่า ชาวบ้านเขาไม่กล้าบอกเรานะ เพราะเขาอยู่ที่นั่น ย้ายไปไหนไม่ได้ ทนายตาล อธิบายถึงบรรยากาศในแก่งกระจาน ที่ทำให้การตามหาบิลลี่ แทบไม่เป็นผล
เสนอข่าว "บิลลี่หาย" แทบไม่มีความคืบหน้า
"พอเราได้ข้อมูลจากชาวบ้านว่าบิลลี่หายไป ทีแรกเราคิดว่าอาจประสบอุบัติเหตุหรือเปล่า แต่ผ่านไปหลายวันก็ไม่มีร่องรอยอะไรเลย จึงคิดว่า หายไปแน่ๆ แล้ว ... แต่เราแทบไม่ได้ข้อมูลอะไรมาส่งข่าวเลย ไม่ว่าจากฝ่ายไหน"
รังสี ลิมปิโชติกุล ผู้สื่อข่าวภูมิภาค นสพ.เดลินิวส์ กล่าว
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhabRxjJWL2IaJV3SNEqttG2zv7x.jpg)
รังสี หรือ หนุ่ม เป็นหนึ่งในนักข่าวไม่กี่คนที่ค้นพบ เหตุการณ์เผาบ้านชาวกะเหรี่ยงในป่าแก่งกระจาน และเสนอข่าวควบคู่มากับทีมข่าวของ Thai PBS และแม้ว่าในฐานะผู้เปิดประเด็นจะทำให้ "หนุ่ม" ได้รับความไว้วางใจจากชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอยมาตลอดเกือบ 3 ปี แต่หลังจากที่บิลลี่หายตัวไป หนุ่มก็พบว่า เขาแทบไม่ได้ข้อมูลจากใครเลย
![](https://news.thaipbs.or.th/media/BRpLwT0TYaGXOF4tVwBKpepInnBgv8mVDx2ZWrkwOwfgf.jpg)
ทำข่าวมาเกือบ 20 ปี ทำประเด็นใหญ่ๆ มาเยอะ เรื่องผู้มีอิทธิพล คดีฆาตกรรมก็ทำมาหมด แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เราต้องทำข่าว "คนหาย" ซึ่งเรากลับพบว่ามันยากมากๆ เพราะคนที่หาย เป็นคนที่เราเคยประสานข้อมูลด้วยมาตลอด เป็นคนที่เคยเป็นปากเป็นเสียงแทนชาวบ้านคนอื่นๆ พอคนๆ นี้หายไป เราจึงเห็นได้เลยว่า คนอื่นๆ ไม่มีใครอยากพูดอะไร นั่นทำให้เราไม่มีข้อมูล ไม่มีหลักฐาน ไม่มีพยานบุคคลที่จะมาช่วยปะติดปะต่อเรื่องราวได้ หนุ่ม เล่าเหตุการณ์ที่ไม่แตกต่างจากทนายความทั้ง 2 คน
อ่าน : The Last Karen : กะเหรี่ยงรุ่นสุดท้าย
คดี "เผาบ้านกะเหรี่ยงแก่งกระจาน" หลัง "บิลลี่ไม่อยู่"
"ทุกอย่างลำบากไปหมด ตั้งแต่การเดินทาง การประสานงาน คนแปลภาษา การเตรียมเอกสาร จะคุยอะไรกับใครเราก็ต้องระวังไปหมด แม้แต่ทีมของตำรวจที่เข้ามาเก็บหลักฐาน ก็เพิ่งมาหลังบิลลี่หายไปแล้วถึง 3 เดือน" ทนายตาล ทิพย์วิมล
![](https://news.thaipbs.or.th/media/BRpLwT0TYaGXOF4tVwBKpepInnBgv8mVAJPJO9IYXVGxf.jpg)
"บิลลี่ เป็นคนประสานระหว่างเรากับคนข้างใน พอไม่มีบิลลี่เราต้องมาหาคนประสานใหม่ ซึ่งหายากมาก เพราะอย่าลืมว่า คนเดิมถูกทำให้หายไป" ทนายแป๋ม วราภรณ์
"เราเข้าถึงข้อมูลยากขึ้นมาก ยิ่งเราเป็นนักข่าว รู้สึกได้เลยว่า ทั้งชาวบ้าน ผู้นำท้องถิ่น หรือแม้แต่ตำรวจ ก็มีกำแพงหนาขึ้น บอกได้ว่า ทั้งแก่งกระจานอยู่ในความมืด" นักข่าว หนุ่ม รังสี
นี่คือเรื่องราวบันทึกความทรงจำของ 2 ทนายความ กับ 1 นักข่าว ที่อยู่ใกล้ชิดกับการต่อสู้ของชาวกะเหรี่ยงบ้ายบางกลอย และใกล้ชิดกับบิลลี่มากที่สุด ซึ่งทำให้เห็นได้ว่า การหายตัวไปของบิลลี่ มีผลอย่างมากมายมหาศาลกับการต่อสู้ทางกฎหมายของชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอยในเวลาต่อมา เพราะบิลลี่ ถือเป็นคนกลางที่สำคัญในการเชื่อมโยงระหว่างชุมชนกับทีมกฎหมายที่เข้ามาช่วยเหลือ
และยิ่งน่าสนใจเมื่อเราเห็นได้ว่า แม้แต่การติดตามตัวบิลลี่เอง ก็ทำได้ยากและได้ข้อรับรู้ข้อเท็จจริงหลายประเด็นมาในเวลาที่ช้าเกินไป ... ซึ่งนั่นอาจเป็นผลต่อคดีนี้ในอีกหลายปีต่อมา
เปิดสำนวน แจ้งข้อหา 157 กับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ แก่งกระจาน
จากคำพิพากษาที่ศาลชั้นต้น พิพากษาจำคุกนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร 3 ปี ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ มีที่มา จากเหตุการณ์ที่นายชัยวัฒน์ ซึ่งขณะนั้นเป็นหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ยอมรับว่าได้ควบคุมตัว นายพอละจี หรือ บิลลี่ ไว้จริง ในจุดที่เรียกว่า ด่านมะเร็ว
เนื่องจากเจ้าหน้าที่อุทยานฯ พบว่าบิลลี่มีน้ำผึ้งป่าผิดกฎหมาย 3-4 ขวด แต่หลังจากที่ควบคุมตัวบิลลี่ไว้ พร้อมนำรถจักรยานยนต์ของบิลลี่ขึ้นท้ายรถกระบะของอุทยานฯ ออกมาจากด่านเพียงเล็กน้อย ก็ตัดสินใจปล่อยตัวบิลลี่ไป โดยไม่นำไปส่งให้ตำรวจดำเนินคดี
แต่ ... หลังจากนั้น ก็ไม่มีใครได้พบเห็นบิลลี่อีกเลย
ในคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 ก.ย.2566 ศาลยังระบุว่า ในคำให้การของจำเลย "มีข้อพิรุธ" หลายจุด ดังนั้น ต้องมาดูในสำนวน
- ในช่วงการจับกุมตัวบิลลี่ มีรถกระบะของเจ้าหน้าที่ 2 คัน และมีชาวกะเหรี่ยงเห็นบิลลี่ถูกจับกุมที่จุดนี้ เป็นครั้งสุดท้ายที่บิลลี่ถูกพบเห็น
- คัน A คือ รถประจำตำแหน่งหัวหน้าอุทยาน
- คัน B คือ รถของเจ้าหน้าที่ประจำจุดที่ด่านมะเร็ว (ชาวบางกลอยจะลงมาจากหมู่บ้านต้องผ่านด่านนี้ทุกครั้ง)
- เจ้าหน้าที่ให้การว่า บิลลี่ ถูกนำขึ้นรถคัน A ไปพร้อมหัวหน้าอุทยาน และเจ้าหน้าที่อีก 2 คน ส่วน จยย.ของบิลลี่ ถูกนำขึ้นท้ายรถกระบะ A
- รถคัน A ออกไปก่อน ผ่านกล้องวงจรปิดเอกชน
- รถคัน B ออกตามหลังไปในเวลาห่างกันประมาณ 3 นาที ในรถมีเจ้าหน้าที่ 1 คน และนักศึกษาฝึกงาน 2 คน
- ออกมาได้เล็กน้อย ถึงจุดที่เจ้าหน้าที่ให้การว่าเป็นจุดปล่อยตัวบิลลี่ลง
- คำให้การช่วงแรก นักศึกษาฝึกงาน 2 คน ซึ่งอยู่ในรถคัน B ให้การไม่ตรงกัน คนหนึ่งบอกเห็นบิลลี่ขับรถสวนมา อีกคนหนึ่งบอกเห็นรถที่นั่งมาขับแซงบิลลี่ไป
- ตำรวจ จำลองเหตุการณ์หลายครั้ง พบว่า ถ้ารถคัน B ตามหลังมาในเวลาห่างกัน 3 นาที ไม่มีโอกาสที่จะพบบิลลี่ ขับรถ จยย.อยู่เลย ต้องเห็นบิลลี่ ยังอยู่ที่รถกระบะคัน A เท่านั้น เพราะยังต้องเอารถ จยย.ลงจากท้ายกระบะ
- ต่อมานักศึกษาฝึกงานทั้ง 2 คน กลับคำให้การ เป็น "ไม่เห็นบิลลี่"
- ทิศทางรถคัน A ในคำให้การ ไม่ตรงกับหลักฐานภาพจากกล้องวงจรปิด
- เจ้าหน้าที่อุทยานให้การว่า หลังปล่อยบิลลี่ไปแล้ว รถคัน A มุ่งหน้ากลับไปที่บ้านพักของหัวหน้าอุทยานฯ ทันที
- ตำรวจตรวจสอบกล้องวงจรปิดเอกชนอีก 2 จุด จากจุดที่อ้างว่าปล่อยบิลลี่ลง ไปถึงบ้านพัก ไม่พบว่ารถคัน A ผ่านกล้องทั้ง 2 ตัว ในช่วงเวลาหลังออกมาจากด่านมะเร็ว
- ตำรวจ พบรถคัน A ผ่านกล้องวงจรปิดเอกชนอีก 1 ตัว แต่วิ่งไปคนละทาง กับในคำให้การ คือ ไปในทางขึ้นเขาพะเนินทุ่ง ในเวลาที่ต่อเนื่องกับที่บอกว่าปล่อยตัวบิลลี่ไปแล้ว แต่ไม่พบ รถ จยย.ของบิลลี่
- พบรถคัน A วิ่งกลับผ่านกล้องตัวเดิมในช่วงค่ำวันเดียวกัน
ข้อมูลเหล่านี้ อยู่ในสำนวนที่เริ่มทำการสอบสวนใหม่ หลังฝ่ายผู้เสียหายร้องขอให้เปลี่ยนพนักงานสอบสวน จึงเป็นการสืบสวนที่เริ่มขึ้น หลังจากบิลลี่หายตัวไปแล้วถึง 3 เดือน และเป็นหลักฐานหลักในสำนวนที่ดีเอสไอ ใช้ยื่นฟ้องต่อจำเลย โดยตำรวจภูธรภาค 7 สรุปสำนวนไว้ว่า ...
"ไม่พบข้อมูล บิลลี่ ถูกปล่อยตัว"
"ทางตำรวจเขาก็คงสรุปได้แค่นั้น เพราะเขาเริ่มทำก็ช้าไปมากแล้ว แต่ก็ยังดีที่มีข้อสรุปว่า บิลลี่ไม่ได้ถูกปล่อยตัว" ... นักข่าว หนุ่ม รังสี
เหตุการณ์หนึ่งที่น่าจะสะท้อนบรรยากาศที่แก่งกระจานได้ดี หลังจากบิลลี่ถูกทำให้หายไป คือ ความรู้สึกของปู่คออี้ ... ในช่วงนั้น ทนาย 2 คน ตาล กับ แป๋ม ต้องให้ "หน่อแอะ" ลูกชายของปู่ บอกปู่คออี้ว่า ถ้ามีใครมาขอให้ปั๊มนิ้วมือให้ ห้ามปั๊มให้เด็ดขาดเลยนะ ถ้าไม่มีตาลกับแป๋มอยู่ด้วย ... ปู่คออี้ก็รับปาก
วันหนึ่ง ปู่คออี้ไปที่ว่าการอำเภอ เพราะนายอำเภอเขาจะทำสัญชาติไทยให้ แต่ปู่คออี้ไม่ยอมปั๊มนิ้วมือ และบอกให้เรียกทนายมาก่อน ... เรื่องนี้นายอำเภอมาบอกเราเองว่า ต้องมีทนาย 1 ใน 2 คนนี้อยู่ด้วย ปู่คออี้ถึงจะยอมปั๊มนิ้ว
เหตุการณ์นี้อาจฟังดูขำๆ แต่จริงๆ แล้วมันยังสะท้อนให้เห็นด้วยว่า บรรยากาศที่นั่นมันดำมืดแค่ไหน หลังจากบิลลี่หายไป ... ทีมทนายความ เล่าทิ้งท้าย
รายงานโดย : สถาพร พงษ์พิพัฒน์วัฒนา