ไวรัสตับอักเสบมีทั้งชนิด A B C D และ E ซึ่งจะมีความแตกต่างอย่างไร มีเรื่องไหนที่ควรไทยควรรู้บ้าง ตามมาอ่านกันได้เลย
สำหรับ “ตับอักเสบ” เป็นภาวะที่มีการอักเสบเกิดจากการทำลายเนื้อเยื่อ ทำให้การทำหน้าที่ต่าง ๆ ของตับผิดปกติ นำไปสู่การเจ็บป่วยไม่สบาย

"โรคตับอักเสบ" อายุรกรรมโรคระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลวิภาวดี ให้ความรู้ว่า เป็นโรคที่รู้จักกันมานาน ยังคงเป็นปัญหาทางสาธารณสุขทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยซึ่งผู้ป่วยโรคนี้ทุกวัย ทั้งชายและหญิง ส่วนใหญ่เป็นโรคตับอักเสบเฉียบพลัน ขณะที่ส่วนน้อยเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมา คือ โรคตับแข็ง และมะเร็งตับ
สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของโรคตับอักเสบ คือ การติดเชื้อไวรัสรองลงมาเกิดจากสุรา ยาบางชนิด ฯลฯ ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะ เชื้อไวรัสตับอักเสบแบ่งเป็น
- ไวรัสตับอักเสบชนิด เอ
- ไวรัสตับอักเสบชนิด บี
- ไวรัสตับอักเสบชนิด ซี
- ไวรัสตับอักเสบชนิด ดี
- ไวรัสตับอักเสบชนิด อี

ไวรัสตับอักเสบชนิด เอ
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด เอ เกิดจากการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป ผัก ผลไม้ และน้ำดื่ม
ระยะฟักตัวของเชื้อนี้ ใช้เวลาประมาณ 2-6 สัปดาห์ โดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์หลังรับเชื้อ เด็กมักจะมีอาการน้อย ผู้ใหญ่จะมีอาการชัดเจนของตับอักเสบเฉียบพลัน เชื้อนี้จะออกมากับอุจจาระของผู้ป่วยต้องแต่ในระยะ 2 สัปดาห์ก่อนมีอาการ จนถึงระยะที่มีอาการของโรค เชื้อไวรัสนี้จะทนอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นาน ทำให้พบมีการระบาดในชุมชน กลุ่มคนที่รวมกันตาม โรงเรียน หอพัก ค่ายทหาร เป็นต้น
ตับอักเสบจากไวรัส เอ เมื่อเป็นแล้วจะหายเป็นปกติ ไม่เป็นพาหะของโรค ไม่เป็นเรื้อรัง ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นได้หลังจากฟื้นตัว อัตราการตายต่ำมาก
ไวรัสตับอักเสบชนิด บี
พบคนที่เป็นพาหะ (Carrier) ของเชื้อไวรัสนี้ ในประชาการโลกกว่า 200 ล้านคน ประเทศไทยมีความชุกของพาหะร้อยละ 8-10 คือ ประมาณ 5 ล้านคนที่มีเชื้อไวรัสนี้ในร่างกาย พบเชื้อได้ในเลือด น้ำเหลือง สิ่งคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เช่น น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด น้ำลาย น้ำตา น้ำนม ทำให้มีโอกาสแพร่เชื้อได้หลายทาง ทางเข้าของเชื้อ ได้แก่
- ทางเพศสัมพันธ์ กับผู้เป็นพาหะของเชื้อนี้
- ทารกคลอดจากมารดาที่เป็นพาหะ อาจติดเชื้อระหว่างคลอด การเลี้ยงดู
- ทางเลือดและน้ำเหลือง การได้รับเลือดของผู้ที่เป็นพาหะอาจเกิดจากการใช้เข็มฉีดยาเสพติดเข้าเส้นร่วมกัน การฝังเข็มการสักการเจาะหูที่ไม่สะอาด การใช้ใบมีดโกน แปรงสีฟันร่วมกัน เป็นต้น
- ทางผิวหนังที่เกิดบาดแผล ผิวหนังถลอก
- ทางสัมผัสใกล้ชิด (Close contact) ระหว่างพาหะกับผู้อื่น เช่นสมาชิกในครอบครัว เด็กวัยเรียน เป็นต้น
ระยะการฟักตัวของเชื้อนี้กินเวลา 30-180 วัน เฉลี่ย 60-90 วัน ร้อยละ 90 ของผู้ป่วยตับอักเสบเฉียบพลันจากไวรัสนี้จะหายเป็นปกติที่เหลือเป็นพาหะของเชื้อต่อไป
พาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบีนี้ มักไม่มีอาการแต่สามารถแพร่เชื้อต่อไป ส่วนหนึ่งอาจป่วยเป็นตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง มะเร็งตับได้ ผู้เป็นพาหะของเชื้อนี้มีโอกาสเสี่ยงของมะเร็งตับสูงกว่าคนทั่วไปถึง 223 เท่าอย่างไรก็ตาม เราสามารถป้องกันโรคนี้ได้โดยใช้วัคซีน
ไวรัสตับอักเสบชนิด ซี
เป็นสาเหตุที่สำคัญของตับอักเสบที่เกิดขึ้นภายหลังการได้รับเลือดหรือ เดิมเรียกว่า ไวรัสตับอักเสบชนิด ไม่ใช่เอ ไม่ใช่บี
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี พบในประชากรทั่วไปประมาณร้อยละ 1 ติดต่อได้โดยทางเลือดและน้ำเหลือง การใช้เข็มฉีดยาร่วมในกลุ่มผู้ติดยาเสพติด นอกจากนี้ อาจติดเชื้อได้ทางเพศสัมพันธ์
ระยะฟักตัวของเชื้อนี้ ประมาณ 15-160 วัน เฉลี่ย 50 วัน ทำให้เกิดโรคตับอักเสบเฉียบพลัน เชื้อไวรัสนี้ยังทำให้เกิดโรคตับอักเสบเรื้อรังและเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับได้เช่นเดียวกับไวรัสตับอักเสบชนิดบี และยังคงเป็นปัญหาต่อไปตราบเท่าที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคนี้
ไวรัสตับอักเสบชนิด ดี
เป็นไวรัสที่ไม่สมบูรณ์ ต้องอยู่ร่วมกับไวรัสตับอักเสบ บี พบเชื้อนี้ในกลุ่มผู้ติดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้นที่มีเชื้อไวรัส บี และการติดต่อ เช่นเดียวกับไวรัสตับอักเสบ บี

ไวรัสตับอักเสบชนิด อี
ศ. นพ.ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความรู้ว่า ไวรัสตับอักเสบ E ไม่ใช่โรคใหม่ ศูนย์ไวรัสจุฬาฯ โดยศ. นพ.ยง ได้ศึกษามานานแล้ว และมีข้อมูลมากมาย รวมทั้งวิธีการตรวจได้อย่างรวดเร็ว ตรวจเช้าได้เย็น ด้วยการตรวจ RNA ไวรัส มีความถูกต้องแม่นยำสูง
ไวรัสตับอักเสบ E ก่อให้เกิดโรคแบบเฉียบพลัน ได้เช่นเดียวกับไวรัสตับอักเสบตัวอื่น ๆ เช่น A, B และ C อาการแบบเฉียบพลันไม่แตกต่างกันมาก มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง อ่อนเพลีย ท้องเสียและ และมีตัวเหลืองตาเหลือง เอนไซม์ตับสูง
ไวรัสตับอักเสบ E ในประเทศไทย ที่พบจะพบเป็นราย ๆ ไม่พบการระบาดหมู่มาก เหมือนในประเทศที่สุขอนามัยไม่ดี เช่น แอฟริกา อินเดีย
สายพันธุ์ที่พบในบ้านเราเป็นสายพันธุ์ที่ 3 มีแหล่งรังโรคอยู่ใน “หมู”

การติดต่อที่สำคัญจึงเป็นการติดต่อทางการรับประทาน “เชื้อ” ที่ปนเปื้อนกับอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่เป็นผลิตภัณฑ์ของหมู ไม่สุก เช่น การรับประทานหมูกระทะ ใช้ตะเกียบคีบหมู เพื่อปิ้ง ย่าง แล้วใช้ตะเกียบอันเดียวกัน คีบอาหารเข้าปาก ซึ่งอาจจะปนเปื้อนเชื้อไวรัสตับอักเสบ E เข้าไป ในหมูกระทะ “เนื้อหมู” ไม่ได้มาจากหมูตัวเดียว จะมาจากหมูเป็นจำนวนมากหลายตัวผสมกัน หรือปนเปื้อนกัน จึงทำให้มีโอกาสเสี่ยงสูง มากกว่าการกินจากหมูตัวเดียว และกินอาหารที่สุกสะอาด
ทั้งนี้ ส่วนตัว ศ. นพ.ยง เคยรักษาผู้ป่วยหลายราย ที่มีประวัติชัดเจนไปรับประทานหมูกระทะ หรือเกี่ยวข้องสัมผัสกับหมู
อีกวิธีหนึ่งที่อาจจะติดต่อกันได้ คือรับเลือดหรือผลิตภัณฑ์ของเลือด จากผู้บริจาคที่มีเชื้อแบบไม่มีอาการ เพราะการติดเชื้อในผู้ที่แข็งแรงดีจำนวนหนึ่งจะไม่มีอาการ และร่างกายก็จะกำจัดเชื้อให้หมดไปเอง การรับเลือดจำนวนมากให้กับผู้มีภูมิต้านทานต่ำ ควรขอเลือดจากศูนย์ ที่ผ่านการตรวจไวรัสตับอักเสบ E
โรคนี้ไม่มียารักษา ถ้าวินิจฉัยได้เร็วก็ไม่จำเป็นต้องให้ยามากมาย โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะหลายอย่าง เพียงรักษาตามอาการ หรือในรายที่รุนแรง การให้ยาต้านไวรัสอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ เพราะยาก็มีอาการข้างเคียง เราจะให้ในคนที่มีภูมิต้านทานต่ำเท่านั้น
โรคนี้ในประเทศไทยเสียชีวิตต่ำมากฯ ส่วนใหญ่ที่รุนแรงและเสียชีวิตจะเป็นผู้ที่มีมีภูมิต้านทานต่ำ กินยากดภูมิต้านทาน หรือโรคเรื้อรังที่ทำให้มีภูมิต้านทานลดลง

การป้องกันที่ดีและหยุดยั้งไวรัสด้วยพฤติกรรมง่าย ๆ
เนื่องจากยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบอีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย (ยกเว้นในบางประเทศ) การป้องกันที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงช่องทางการติดเชื้อ โดยการให้ความสำคัญกับสุขอนามัยส่วนบุคคลและสุขอนามัยอาหาร
10 วิธีปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
การป้องกันไวรัสตับอักเสบอีให้ได้ผลต้องเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต
1. ล้างมือให้ถูกวิธี : ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดทุกครั้ง หลังการเข้าห้องน้ำ, ก่อนการเตรียมอาหาร, และก่อนรับประทานอาหาร
2. ต้มน้ำดื่ม : ดื่มเฉพาะน้ำที่ผ่านการต้มจนเดือดสนิท หรือน้ำดื่มบรรจุขวดที่ได้มาตรฐานเท่านั้น
3. ปรุงอาหารสุก : รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ และหลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์และอาหารทะเล (โดยเฉพาะหอย) ดิบ หรือกึ่งสุกกึ่งดิบ
4. ล้างผัก/ผลไม้ : ล้างผักและผลไม้สดให้สะอาดด้วยน้ำที่ปลอดภัย ก่อนนำมารับประทาน
5. ดูแลความสะอาดของน้ำแข็ง : ใช้น้ำแข็งที่ผลิตจากน้ำที่สะอาดและได้มาตรฐานเท่านั้น
6. หลีกเลี่ยงการปนเปื้อน : จัดเก็บอาหารที่ปรุงสุกแล้วให้ห่างจากอาหารดิบ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนข้าม (Cross-contamination)
7. สุขาภิบาลในที่สาธารณะ : ระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีสุขาภิบาลไม่ดี
8. การจัดการขยะ : ทิ้งขยะและสิ่งปฏิกูลในที่ที่เหมาะสม ไม่ปล่อยให้ปนเปื้อนแหล่งน้ำ
9. ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกัน : หลีกเลี่ยงการใช้แก้วน้ำ จานชาม หรืออุปกรณ์ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่นในช่วงที่มีการระบาดหรือหากมีอาการป่วย
10. ปรึกษาแพทย์ : หากมีอาการที่น่าสงสัย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : อายุรกรรมโรคระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลวิภาวดี, ศ. นพ.ยง ภู่วรวรรณ, โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech




















