สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทำคนไทยตื่นตัว-รับมือ "ข่าวปลอม-ข่าวบิดเบือน" มากขึ้น!!

สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทำคนไทยตื่นตัว-รับมือ "ข่าวปลอม-ข่าวบิดเบือน" มากขึ้น!!

19 ส.ค. 68

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความตึงเครียดการตรึงกำลังป้องกันการปะทะบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลเป็นวงกว้าง ไม่เพียงแต่ประชาชนที่อยู่ในจุดดังกล่าวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ที่ท่วมท้นไปด้วยข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ มากมาย จนกลายเป็นที่พูดกันว่า นี่เป็นยุค “สงครามข้อมูลข่าวสาร”

 

นับตั้งแต่ 1 ก.ค. - 13 ส.ค. 68 ที่ผ่านมา จากการรวบรวมผ่านเครื่องมือ Zocial Eye (Wisesight) และวิเคราะห์โดย DigitalMedia Team ของ Thai PBS พบว่า มีการพูดถึงสถานการณ์ไทย-กัมพูชา บนโลกออนไลน์มากถึง 4,130,278 ข้อความ สร้างการมีส่วนร่วมกว่า 1,054 ล้านเอนเกจ

 

ซึ่งที่น่าตกใจคือ นอกจากการพูดถึงข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ในแต่ละวัน มีการพูดถึง "ข่าวปลอม - Fake News - บิดเบือน - การโกหก" มากถึง 128,878 ข้อความ หรือคิดเป็นราว 3% จากจำนวนข้อความทั้งหมด

 

โดยเมื่อไล่เรียงดูจากจำนวนข้อความ เราพบอีกว่า การพูดถึง "ข่าวปลอม - Fake News - บิดเบือน - การโกหก" เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในช่วงวันที่ 24 ก.ค. - 1 ส.ค. 68 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ลากยาวมาจนถึงการหารือข้อตกลงหยุดยิง และหลังจากช่วงนั้น คือนับตั้งแต่ 2 ส.ค. 68 เป็นต้นมา แม้จะมีการพูดถึงน้อยลง แต่จำนวนข้อความก็ยังคงสูงกว่าช่วงก่อนหน้าวันที่ 24 ก.ค. 68 เกือบเท่าตัว เฉลี่ยอยู่ที่ 2,000 กว่าข้อความต่อวัน

 

ทั้งนี้ จากกระแส "ข่าวปลอม-ข่าวบิดเบือน" ที่เกิดขึ้น ได้นำไปสู่การรณรงค์การติดแฮชแท็ก #TruthFromThailand เพื่อบอกเล่าข้อเท็จจริงของจากฝั่งไทยให้กับนานาชาติได้รับทราบ มีคนร่วมติดแฮชแท็กมากถึง 175,205 ข้อความ สร้างการมีส่วนร่วม 118 ล้านเอนเกจ โดยมีช่องทาง X เป็นพื้นที่หลักในการใช้ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 51.24%

 

ขณะเดียวกัน จากการค้นหาใน Google Search ช่วงวันที่ 24 ก.ค. - 13 ส.ค. 68 ก็พบว่า คำที่เกี่ยวข้องกับการค้นหา "ข่าวปลอม" ยังคงเน้นไปที่เหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ว่าจะเป็น
  ‣ ข่าวปลอมภาษาอังกฤษ
  ‣  ข่าวไทยกัมพูชา
  ‣ ข่าวเขมร
  ‣ ข่าวปลอมล่าสุด
  ‣ แจ้งข่าวปลอม

 

แน่นอนว่า จากกระแสข่าวชายแดนไทย-กัมพูชา ช่วงที่ผ่านมา บุคคลที่ถูกเอ่ยถึงมากที่สุดกว่า 170,752 ข้อความ (ไม่นับรวมการเรียกชื่อล้อเลียน) คือ สมเด็จ “ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งมีบทบาทนับตั้งแต่วันแรกจนถึง ณ วันนี้ ในด้านการปล่อยข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ จนกลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ส่วนอีกบุคคลหนึ่งที่มีบทบาทในช่วงหลังเกิดการปะทะบริเวณชายแดน อย่าง พล.ท. มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ก็มีการพูดถึงกว่า 20,032 ข้อความ และเธอคนนี้ได้ตกเป็นประเด็นในการกล่าวถึง "ข่าวปลอม-ข่าวบิดเบือน" รวมถึงการถูกสร้าง "ข่าวปลอม" กลับผ่านการใช้ภาพตัดต่อ AI ซึ่งได้สร้างความเข้าใจผิดอันร้ายแรงต่อตัวเธออย่างมากเช่นกัน

 

จากทั้งหมดนี้ ได้ภาพสะท้อนว่า โลกออนไลน์เป็นอีกพื้นที่ที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในช่วงที่มีภาวะวิกฤตเช่นนี้ เพราะนอกจากจะเป็นแหล่งข้อมูลข่าวสารแล้ว ยังกลายเป็นแหล่งส่งต่อ "ข่าวปลอม-ข่าวบิดเบือน" ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว จนส่งผลกระทบในวงกว้างที่อาจนำมาซึ่งความเสียหายในระยะยาว

 

ดังนั้น เพื่อไม่ให้ตกเป็นหนึ่งในผู้แพร่กระจายข่าวปลอม-ข่าวบิดเบือน อย่าลืมตรวจสอบข้อมูลที่ได้มาก่อนทุกครั้งก่อนแชร์ ด้วยหลักการง่าย ๆ 3W คือ
    W1 Who (ใคร?) เช็กผู้เขียน (มีชื่อจริงไหม เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไหม) เช็กสื่อ (สิ่งที่ลงเชื่อถือได้หรือไม่ มีประวัติการรายงานที่ถูกต้องไหม) 
    W2 What (อะไร?) เช็กเนื้อหา (มีหลักฐานรองรับหรือไม่ มีรูปภาพ/วิดีโอประกอบที่เชื่อถือได้ไหม)
    W3 When (เมื่อไร?) เช็กเวลา

 

ซึ่งนอกจาก 3W นี้แล้ว กรมสุขภาพจิต โดยกระทรวงสาธารณสุข ยังบอกเคล็ดลับกฎเหล็ก 3 ข้อง่าย ๆ ไว้ด้วยว่า
  ‣ ข้อมูลกระตุ้นอารมณ์มาก -- ให้รอสักครู่ก่อนแชร์
  ‣ ตรวจสอบจาก 2-3 แหล่ง -- เปรียบเทียบข้อมูล
  ‣ ไม่แน่ใจ -- ไม่ควรแชร์

 

รู้แบบนี้แล้ว... อย่าลืมย้ำเตือนกันมาก ๆ นะคะ แล้วร่วมกันเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง ✔️

 

เกาะติดสถานการณ์และบทวิเคราะห์ "ไทย-กัมพูชา" : www.thaipbs.or.th/ThailandCambodiaBorder

 

สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทำคนไทยตื่นตัว-รับมือ "ข่าวปลอม-ข่าวบิดเบือน" มากขึ้น!!

19 ส.ค. 68

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความตึงเครียดการตรึงกำลังป้องกันการปะทะบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลเป็นวงกว้าง ไม่เพียงแต่ประชาชนที่อยู่ในจุดดังกล่าวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ที่ท่วมท้นไปด้วยข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ มากมาย จนกลายเป็นที่พูดกันว่า นี่เป็นยุค “สงครามข้อมูลข่าวสาร”

 

นับตั้งแต่ 1 ก.ค. - 13 ส.ค. 68 ที่ผ่านมา จากการรวบรวมผ่านเครื่องมือ Zocial Eye (Wisesight) และวิเคราะห์โดย DigitalMedia Team ของ Thai PBS พบว่า มีการพูดถึงสถานการณ์ไทย-กัมพูชา บนโลกออนไลน์มากถึง 4,130,278 ข้อความ สร้างการมีส่วนร่วมกว่า 1,054 ล้านเอนเกจ

 

ซึ่งที่น่าตกใจคือ นอกจากการพูดถึงข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ในแต่ละวัน มีการพูดถึง "ข่าวปลอม - Fake News - บิดเบือน - การโกหก" มากถึง 128,878 ข้อความ หรือคิดเป็นราว 3% จากจำนวนข้อความทั้งหมด

 

โดยเมื่อไล่เรียงดูจากจำนวนข้อความ เราพบอีกว่า การพูดถึง "ข่าวปลอม - Fake News - บิดเบือน - การโกหก" เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในช่วงวันที่ 24 ก.ค. - 1 ส.ค. 68 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ลากยาวมาจนถึงการหารือข้อตกลงหยุดยิง และหลังจากช่วงนั้น คือนับตั้งแต่ 2 ส.ค. 68 เป็นต้นมา แม้จะมีการพูดถึงน้อยลง แต่จำนวนข้อความก็ยังคงสูงกว่าช่วงก่อนหน้าวันที่ 24 ก.ค. 68 เกือบเท่าตัว เฉลี่ยอยู่ที่ 2,000 กว่าข้อความต่อวัน

 

ทั้งนี้ จากกระแส "ข่าวปลอม-ข่าวบิดเบือน" ที่เกิดขึ้น ได้นำไปสู่การรณรงค์การติดแฮชแท็ก #TruthFromThailand เพื่อบอกเล่าข้อเท็จจริงของจากฝั่งไทยให้กับนานาชาติได้รับทราบ มีคนร่วมติดแฮชแท็กมากถึง 175,205 ข้อความ สร้างการมีส่วนร่วม 118 ล้านเอนเกจ โดยมีช่องทาง X เป็นพื้นที่หลักในการใช้ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 51.24%

 

ขณะเดียวกัน จากการค้นหาใน Google Search ช่วงวันที่ 24 ก.ค. - 13 ส.ค. 68 ก็พบว่า คำที่เกี่ยวข้องกับการค้นหา "ข่าวปลอม" ยังคงเน้นไปที่เหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ว่าจะเป็น
  ‣ ข่าวปลอมภาษาอังกฤษ
  ‣  ข่าวไทยกัมพูชา
  ‣ ข่าวเขมร
  ‣ ข่าวปลอมล่าสุด
  ‣ แจ้งข่าวปลอม

 

แน่นอนว่า จากกระแสข่าวชายแดนไทย-กัมพูชา ช่วงที่ผ่านมา บุคคลที่ถูกเอ่ยถึงมากที่สุดกว่า 170,752 ข้อความ (ไม่นับรวมการเรียกชื่อล้อเลียน) คือ สมเด็จ “ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งมีบทบาทนับตั้งแต่วันแรกจนถึง ณ วันนี้ ในด้านการปล่อยข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ จนกลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ส่วนอีกบุคคลหนึ่งที่มีบทบาทในช่วงหลังเกิดการปะทะบริเวณชายแดน อย่าง พล.ท. มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ก็มีการพูดถึงกว่า 20,032 ข้อความ และเธอคนนี้ได้ตกเป็นประเด็นในการกล่าวถึง "ข่าวปลอม-ข่าวบิดเบือน" รวมถึงการถูกสร้าง "ข่าวปลอม" กลับผ่านการใช้ภาพตัดต่อ AI ซึ่งได้สร้างความเข้าใจผิดอันร้ายแรงต่อตัวเธออย่างมากเช่นกัน

 

จากทั้งหมดนี้ ได้ภาพสะท้อนว่า โลกออนไลน์เป็นอีกพื้นที่ที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในช่วงที่มีภาวะวิกฤตเช่นนี้ เพราะนอกจากจะเป็นแหล่งข้อมูลข่าวสารแล้ว ยังกลายเป็นแหล่งส่งต่อ "ข่าวปลอม-ข่าวบิดเบือน" ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว จนส่งผลกระทบในวงกว้างที่อาจนำมาซึ่งความเสียหายในระยะยาว

 

ดังนั้น เพื่อไม่ให้ตกเป็นหนึ่งในผู้แพร่กระจายข่าวปลอม-ข่าวบิดเบือน อย่าลืมตรวจสอบข้อมูลที่ได้มาก่อนทุกครั้งก่อนแชร์ ด้วยหลักการง่าย ๆ 3W คือ
    W1 Who (ใคร?) เช็กผู้เขียน (มีชื่อจริงไหม เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไหม) เช็กสื่อ (สิ่งที่ลงเชื่อถือได้หรือไม่ มีประวัติการรายงานที่ถูกต้องไหม) 
    W2 What (อะไร?) เช็กเนื้อหา (มีหลักฐานรองรับหรือไม่ มีรูปภาพ/วิดีโอประกอบที่เชื่อถือได้ไหม)
    W3 When (เมื่อไร?) เช็กเวลา

 

ซึ่งนอกจาก 3W นี้แล้ว กรมสุขภาพจิต โดยกระทรวงสาธารณสุข ยังบอกเคล็ดลับกฎเหล็ก 3 ข้อง่าย ๆ ไว้ด้วยว่า
  ‣ ข้อมูลกระตุ้นอารมณ์มาก -- ให้รอสักครู่ก่อนแชร์
  ‣ ตรวจสอบจาก 2-3 แหล่ง -- เปรียบเทียบข้อมูล
  ‣ ไม่แน่ใจ -- ไม่ควรแชร์

 

รู้แบบนี้แล้ว... อย่าลืมย้ำเตือนกันมาก ๆ นะคะ แล้วร่วมกันเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง ✔️

 

เกาะติดสถานการณ์และบทวิเคราะห์ "ไทย-กัมพูชา" : www.thaipbs.or.th/ThailandCambodiaBorder