
"พายุแม่เหล็กโลก" (Geomagnetic Storm) เกิดจากพายุสุริยะที่มาจากการปลดปล่อยมวลสาร และรังสีจากดวงอาทิตย์ เช่น การปล่อยมวลโคโรนา (Coronal Mass Ejection: CME) โดยพัดออกสู่อวกาศและเดินทางผ่านดาวเคราะห์ต่าง ๆ ที่เป็นบริวารของดวงอาทิตย์ และชนเข้ากับสนามแม่เหล็กโลก ทำให้สนามแม่เหล็กโลกจะถูกบีบอัดและสั่นไหวอย่างรุนแรง ก่อให้เกิดกระแสของอนุภาคมีประจุในชั้นบรรยากาศ และบนพื้นดิน ซึ่งอาจรบกวนระบบไฟฟ้า, ท่อส่งน้ำมัน, ระบบนำทาง (GPS) และการสื่อสารทางวิทยุ รวมไปถึงทำให้เกิดแสงเหนือ-แสงใต้ (Aurora) ที่สวยงาม
ทั้งนี้ ความรุนแรงของพายุสนามแม่เหล็กโลก สามารถแบ่งระดับความรุนแรงได้ 5 ระดับ G1-G5 ดังนี้
G1 (Minor - เล็กน้อย) ผลกระทบอาจมีผลกระทบเล็กน้อยต่อระบบไฟฟ้าในระดับสูง (ใกล้ขั้วโลก) หรืออาจทำให้เกิดการเบี่ยงเบนเล็กน้อยของดาวเทียม สามารถเห็นแสงออโรรา (แสงเหนือ-แสงใต้) ได้ในละติจูดกลาง
G2 (Moderate - ปานกลาง) ผลกระทบอาจต้องมีการปรับแรงดันไฟฟ้าในระบบไฟฟ้าบ้างเป็นครั้งคราว, อาจมีผลกระทบต่อการทำงานของ ดาวเทียม (เช่น ระบบควบคุมทิศทาง) อาจเกิดสัญญาณรบกวน วิทยุคลื่นความถี่สูง (HF) ในละติจูดสูงได้ สามารถเห็นแสงออโรราลงมาถึงละติจูดต่ำลงได้
G3 (Strong - รุนแรง) ผลกระทบอาจเกิดความผิดปรกติของแรงดันไฟฟ้าในระบบส่งไฟฟ้า แต่ยังสามารถควบคุมได้, ดาวเทียมอาจเกิดการสะสมประจุที่ชิ้นส่วนและมีปัญหาในการควบคุมทิศทาง อาจมีปัญหาการกระจายสัญญาณ วิทยุความถี่ต่ำเป็นระยะ และอาจมีผลต่อความแม่นยำของสัญญาณ GNSS สามารถเห็นแสงออโรราลงไปถึงละติจูดแม่เหล็กที่ 50 องศา
G4 (Severe - รุนแรงมาก) มีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายในพื้นที่กว้างของระบบไฟฟ้า และมีปัญหาการสื่อสารกับดาวเทียมอย่างมาก
G5 (Extreme - รุนแรงที่สุด) เป็นระดับที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อระบบไฟฟ้าและเทคโนโลยีในเขตละติจูดสูง โดยระบบสายส่งไฟฟ้าอาจล่มหรือดับถาวร หม้อแปลงไฟฟ้าอาจเสียหาย ยานอวกาศมีปัญหาจากประจุเข้มข้นที่สะสมที่ผิวยาน มีปัญหาด้านการสื่อสารและการควบคุมทิศ การกระจายสัญญาณความถี่สูงล้มเหลว และเกิดแสงออโรราไปถึงระดับละติจูดแม่เหล็ก 40 องศา
ในปี 2024–2025 ถือเป็นช่วงที่เกิดพายุสุริยะบ่อย เนื่องจากการเข้าสู่ "วัฏจักรสุริยะที่ 25" ของดวงอาทิตย์ ซึ่งมีการปลดปล่อยพลังงานที่แตกต่างกันในแต่ละช่วง เรียกว่า “วัฏจักรสุริยะ” (Solar Cycle) รอบของการเปลี่ยนแปลงจำนวนจุดดับบนดวงอาทิตย์ (Sunspot) แบ่งออกเป็น 2 ช่วงหลัก คือ “ช่วงต่ำสุด” (Solar Minimum) ช่วงที่อาจไม่มีจุดดับปรากฏขึ้นนานหลายวันบนดวงอาทิตย์ และ “ช่วงสูงสุด” (Solar Maximum) คือ ช่วงที่อาจมีจุดดับปรากฏขึ้นมากกว่า 160 บางปีอาจสูงถึง 200 จุด
โดย 1 รอบวัฏจักรสุริยะจะมีระยะเวลาเฉลี่ยอยู่ที่ 11 ปี และในทุกๆ ครั้งของการขึ้นวัฏจักรใหม่ ขั้วแม่เหล็กของดวงอาทิตย์จะมีการกลับขั้วหรือสลับขั้วเหนือ-ใต้ระหว่างกัน
องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ หรือ NOAA ประกาศว่า ปัจจุบันดวงอาทิตย์ได้เข้าสู่ช่วงสูงสุดของดวงอาทิตย์แล้ว และอาจดำเนินต่อไปจนถึงปลายปี 2025 แล้วจะค่อย ๆ ลดลงจนน้อยที่สุดในปี 2033
ที่มา : GISTDA, NARIT
ชมคลิป Sci & Tech Movie ตอน วิเคราะห์หนังเรื่อง Knowing โลกจะอวสานไหม ? หากเกิดหายนะพายุสุริยะครั้งใหญ่ 👉🏻 https://youtu.be/vmjmD1cEkcw
"พายุแม่เหล็กโลก" (Geomagnetic Storm) เกิดจากพายุสุริยะที่มาจากการปลดปล่อยมวลสาร และรังสีจากดวงอาทิตย์ เช่น การปล่อยมวลโคโรนา (Coronal Mass Ejection: CME) โดยพัดออกสู่อวกาศและเดินทางผ่านดาวเคราะห์ต่าง ๆ ที่เป็นบริวารของดวงอาทิตย์ และชนเข้ากับสนามแม่เหล็กโลก ทำให้สนามแม่เหล็กโลกจะถูกบีบอัดและสั่นไหวอย่างรุนแรง ก่อให้เกิดกระแสของอนุภาคมีประจุในชั้นบรรยากาศ และบนพื้นดิน ซึ่งอาจรบกวนระบบไฟฟ้า, ท่อส่งน้ำมัน, ระบบนำทาง (GPS) และการสื่อสารทางวิทยุ รวมไปถึงทำให้เกิดแสงเหนือ-แสงใต้ (Aurora) ที่สวยงาม
ทั้งนี้ ความรุนแรงของพายุสนามแม่เหล็กโลก สามารถแบ่งระดับความรุนแรงได้ 5 ระดับ G1-G5 ดังนี้
G1 (Minor - เล็กน้อย) ผลกระทบอาจมีผลกระทบเล็กน้อยต่อระบบไฟฟ้าในระดับสูง (ใกล้ขั้วโลก) หรืออาจทำให้เกิดการเบี่ยงเบนเล็กน้อยของดาวเทียม สามารถเห็นแสงออโรรา (แสงเหนือ-แสงใต้) ได้ในละติจูดกลาง
G2 (Moderate - ปานกลาง) ผลกระทบอาจต้องมีการปรับแรงดันไฟฟ้าในระบบไฟฟ้าบ้างเป็นครั้งคราว, อาจมีผลกระทบต่อการทำงานของ ดาวเทียม (เช่น ระบบควบคุมทิศทาง) อาจเกิดสัญญาณรบกวน วิทยุคลื่นความถี่สูง (HF) ในละติจูดสูงได้ สามารถเห็นแสงออโรราลงมาถึงละติจูดต่ำลงได้
G3 (Strong - รุนแรง) ผลกระทบอาจเกิดความผิดปรกติของแรงดันไฟฟ้าในระบบส่งไฟฟ้า แต่ยังสามารถควบคุมได้, ดาวเทียมอาจเกิดการสะสมประจุที่ชิ้นส่วนและมีปัญหาในการควบคุมทิศทาง อาจมีปัญหาการกระจายสัญญาณ วิทยุความถี่ต่ำเป็นระยะ และอาจมีผลต่อความแม่นยำของสัญญาณ GNSS สามารถเห็นแสงออโรราลงไปถึงละติจูดแม่เหล็กที่ 50 องศา
G4 (Severe - รุนแรงมาก) มีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายในพื้นที่กว้างของระบบไฟฟ้า และมีปัญหาการสื่อสารกับดาวเทียมอย่างมาก
G5 (Extreme - รุนแรงที่สุด) เป็นระดับที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อระบบไฟฟ้าและเทคโนโลยีในเขตละติจูดสูง โดยระบบสายส่งไฟฟ้าอาจล่มหรือดับถาวร หม้อแปลงไฟฟ้าอาจเสียหาย ยานอวกาศมีปัญหาจากประจุเข้มข้นที่สะสมที่ผิวยาน มีปัญหาด้านการสื่อสารและการควบคุมทิศ การกระจายสัญญาณความถี่สูงล้มเหลว และเกิดแสงออโรราไปถึงระดับละติจูดแม่เหล็ก 40 องศา
ในปี 2024–2025 ถือเป็นช่วงที่เกิดพายุสุริยะบ่อย เนื่องจากการเข้าสู่ "วัฏจักรสุริยะที่ 25" ของดวงอาทิตย์ ซึ่งมีการปลดปล่อยพลังงานที่แตกต่างกันในแต่ละช่วง เรียกว่า “วัฏจักรสุริยะ” (Solar Cycle) รอบของการเปลี่ยนแปลงจำนวนจุดดับบนดวงอาทิตย์ (Sunspot) แบ่งออกเป็น 2 ช่วงหลัก คือ “ช่วงต่ำสุด” (Solar Minimum) ช่วงที่อาจไม่มีจุดดับปรากฏขึ้นนานหลายวันบนดวงอาทิตย์ และ “ช่วงสูงสุด” (Solar Maximum) คือ ช่วงที่อาจมีจุดดับปรากฏขึ้นมากกว่า 160 บางปีอาจสูงถึง 200 จุด
โดย 1 รอบวัฏจักรสุริยะจะมีระยะเวลาเฉลี่ยอยู่ที่ 11 ปี และในทุกๆ ครั้งของการขึ้นวัฏจักรใหม่ ขั้วแม่เหล็กของดวงอาทิตย์จะมีการกลับขั้วหรือสลับขั้วเหนือ-ใต้ระหว่างกัน
องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ หรือ NOAA ประกาศว่า ปัจจุบันดวงอาทิตย์ได้เข้าสู่ช่วงสูงสุดของดวงอาทิตย์แล้ว และอาจดำเนินต่อไปจนถึงปลายปี 2025 แล้วจะค่อย ๆ ลดลงจนน้อยที่สุดในปี 2033
ที่มา : GISTDA, NARIT
ชมคลิป Sci & Tech Movie ตอน วิเคราะห์หนังเรื่อง Knowing โลกจะอวสานไหม ? หากเกิดหายนะพายุสุริยะครั้งใหญ่ 👉🏻 https://youtu.be/vmjmD1cEkcw