โลกร้อน ทำไม ? ฝนตกหนักขึ้น

โลกร้อน ทำไม ? ฝนตกหนักขึ้น

27 พ.ย. 68

เมื่อภาวะโลกร้อน ส่งผลให้ “ฝนตก” หนักขึ้น ?

 

นี่ไม่ใช่เรื่องของอนาคตอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) กำลังทำให้ฝนที่ตกหนักขึ้นกว่าที่โลกเคยรับมือไหว

 

กรณี "น้ำท่วมหาดใหญ่" ก็เช่นเดียวกัน เหตุการณ์นี้เรียกได้ว่า อาจเป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยที่ชัดเจนที่สุดของธรรมชาติที่มนุษย์ไม่อาจหนีพ้น ทั้งด้านปริมาณฝน ความเร็วของกระแสน้ำ และความพร้อมของระบบรับมือภัยพิบัติ

 

Thai PBS Sci & Tech ชวนทำความเข้าใจ เมื่อภาวะโลกร้อน จะส่งผลให้ “ฝนตก” หนักขึ้น ได้อย่างไร ?

 

ในช่วง "ฤดูฝน" อุณหภูมิบนพื้นดินจะร้อนกว่าน้ำทะเล ความร้อนจะส่งผลให้อากาศเหนือพื้นดินลอยตัวสูง เกิดเป็นบริเวณความกดอากาศต่ำ ขณะเดียวกันน้ำทะเลอุ่นทำให้ไอน้ำระเหยมากขึ้น ลมที่พัดจากน้ำทะเลเข้าสู่พื้นดินจึงนำพาเอาความชื้นจำนวนมากเข้ามาด้วย เมื่ออากาศชื้นลอยตัวสูงและเย็นลงจึงกลั่นตัวเป็นเมฆและทำให้เกิดฝนตกหนักตามมา

 

ส่วนในช่วง "ฤดูแล้ง" สถานการณ์กลับกัน อุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลจะร้อนกว่าพื้นดิน ส่งผลให้อากาศร้อนลอยตัวขึ้นเหนือทะเล ขณะที่พื้นดินมีอากาศที่เย็นกว่าจะกลายเป็นบริเวณความกดอากาศสูง ลมจึงพัดจากพื้นดินออกสู่น้ำทะเลและมีความชื้นต่ำ ส่งผลให้สภาพอากาศแห้งแล้งและมีฝนตกน้อย

 

อย่างไรก็ตาม ในยุคของ "ภาวะโลกร้อน" ระบบมรสุมกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่ออุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น ไอน้ำจะระเหยมากขึ้นตามธรรมชาติ ขณะเดียวกันอากาศที่อุ่นกว่าสามารถกักเก็บความชื้นได้มากขึ้น ทำให้ก้อนเมฆมีปริมาณน้ำมากขึ้นกว่าปกติ เมื่อเกิดพายุฝนในช่วงมรสุม จึงเป็นฝนที่ตกหนักขึ้น รุนแรงขึ้น หรือยาวนานขึ้นในหลายพื้นที่ของโลก ทำให้เกิดฝนตกหนักแบบฉับพลัน น้ำท่วมเฉียบพลัน และสภาพอากาศสุดขั้ว ที่กำลังเกิดบ่อยและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

 

วงจรมรสุมจึงไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติประจำฤดูกาลอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นสัญญาณเตือนว่า ภูมิอากาศของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และกระทบต่อชีวิตผู้คนในวงกว้าง ... ถึงเวลาหรือยังที่ทั่วโลกจะตระหนักและหาทางรับมือก่อนที่จะสายเกินแก้

 

ที่มา : NOAA/NASA Graphic โดย AFP

โลกร้อน ทำไม ? ฝนตกหนักขึ้น

27 พ.ย. 68

เมื่อภาวะโลกร้อน ส่งผลให้ “ฝนตก” หนักขึ้น ?

 

นี่ไม่ใช่เรื่องของอนาคตอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) กำลังทำให้ฝนที่ตกหนักขึ้นกว่าที่โลกเคยรับมือไหว

 

กรณี "น้ำท่วมหาดใหญ่" ก็เช่นเดียวกัน เหตุการณ์นี้เรียกได้ว่า อาจเป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยที่ชัดเจนที่สุดของธรรมชาติที่มนุษย์ไม่อาจหนีพ้น ทั้งด้านปริมาณฝน ความเร็วของกระแสน้ำ และความพร้อมของระบบรับมือภัยพิบัติ

 

Thai PBS Sci & Tech ชวนทำความเข้าใจ เมื่อภาวะโลกร้อน จะส่งผลให้ “ฝนตก” หนักขึ้น ได้อย่างไร ?

 

ในช่วง "ฤดูฝน" อุณหภูมิบนพื้นดินจะร้อนกว่าน้ำทะเล ความร้อนจะส่งผลให้อากาศเหนือพื้นดินลอยตัวสูง เกิดเป็นบริเวณความกดอากาศต่ำ ขณะเดียวกันน้ำทะเลอุ่นทำให้ไอน้ำระเหยมากขึ้น ลมที่พัดจากน้ำทะเลเข้าสู่พื้นดินจึงนำพาเอาความชื้นจำนวนมากเข้ามาด้วย เมื่ออากาศชื้นลอยตัวสูงและเย็นลงจึงกลั่นตัวเป็นเมฆและทำให้เกิดฝนตกหนักตามมา

 

ส่วนในช่วง "ฤดูแล้ง" สถานการณ์กลับกัน อุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลจะร้อนกว่าพื้นดิน ส่งผลให้อากาศร้อนลอยตัวขึ้นเหนือทะเล ขณะที่พื้นดินมีอากาศที่เย็นกว่าจะกลายเป็นบริเวณความกดอากาศสูง ลมจึงพัดจากพื้นดินออกสู่น้ำทะเลและมีความชื้นต่ำ ส่งผลให้สภาพอากาศแห้งแล้งและมีฝนตกน้อย

 

อย่างไรก็ตาม ในยุคของ "ภาวะโลกร้อน" ระบบมรสุมกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่ออุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น ไอน้ำจะระเหยมากขึ้นตามธรรมชาติ ขณะเดียวกันอากาศที่อุ่นกว่าสามารถกักเก็บความชื้นได้มากขึ้น ทำให้ก้อนเมฆมีปริมาณน้ำมากขึ้นกว่าปกติ เมื่อเกิดพายุฝนในช่วงมรสุม จึงเป็นฝนที่ตกหนักขึ้น รุนแรงขึ้น หรือยาวนานขึ้นในหลายพื้นที่ของโลก ทำให้เกิดฝนตกหนักแบบฉับพลัน น้ำท่วมเฉียบพลัน และสภาพอากาศสุดขั้ว ที่กำลังเกิดบ่อยและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

 

วงจรมรสุมจึงไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติประจำฤดูกาลอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นสัญญาณเตือนว่า ภูมิอากาศของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และกระทบต่อชีวิตผู้คนในวงกว้าง ... ถึงเวลาหรือยังที่ทั่วโลกจะตระหนักและหาทางรับมือก่อนที่จะสายเกินแก้

 

ที่มา : NOAA/NASA Graphic โดย AFP