ปิดต่อ! รพ.ภาชี มลพิษในอากาศยังสูง - เปิด รพ.สนามวัดโคกม่วง

ภูมิภาค
3 พ.ค. 67
08:23
358
Logo Thai PBS
ปิดต่อ! รพ.ภาชี มลพิษในอากาศยังสูง - เปิด รพ.สนามวัดโคกม่วง
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ปลัด สธ.เผยยังต้องปิด รพ.ภาชี หลังตรวจพบมลพิษในอากาศสูงกว่าเกณฑ์จากเหตุไฟไหม้โกดังเก็บสารเคมี พร้อมเปิด รพ.สนาม ที่วัดโคกม่วง ให้บริการผู้ป่วยนอกและฉุกเฉินเบื้องต้น

วันที่ 2 พ.ค.2567 นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าเหตุไฟไหม้โกดังเก็บสารเคมี อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมระบุว่า ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (PHEOC) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยา รับมือเหตุการณ์ได้อย่างรวดเร็ว โดยปิด รพ.ภาชี ซึ่งอยู่ห่างที่เกิดเหตุเพียง 600 เมตรและย้ายผู้ป่วย 35 คนออกนอกพื้นที่ โดยให้กลับบ้านและบางส่วนส่งต่อไป รพ.ท่าเรือ, รพ.สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ (วาสนมหาเถร) และ รพ.อุทัย

พร้อมทั้งเปิด รพ.สนาม ที่วัดโคกม่วง ซึ่งอยู่ด้านเหนือลม ให้บริการผู้ป่วยนอกและฉุกเฉินเบื้องต้น ซึ่งในวันที่ 2 พ.ค.มีผู้รับบริการ 28 คน เป็นผู้ได้รับผลกระทบ 9 คน (แสบตา/ระคายคอ) ส่วนผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มีนัดกับโรงพยาบาล 80 คนได้ใช้ Health Rider จัดการส่งยาให้

อ่านข่าว : เพลิงไหม้โกดังเก็บสารเคมีใน อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา 

นพ.โอภาส กล่าวอีกว่า หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่จัดทีมประเมินผลกระทบทางร่างกาย 7 ทีม ออกเฝ้าระวังผลกระทบสุขภาพประชาชนในรัศมี 1 กิโลเมตร จำนวน 599 คน 109 หลังคาเรือน พบมีอาการระคายเคืองตา เวียนศีรษะ แต่ไม่รุนแรง 74 คน โดยจะติดตามตรวจเอกซเรย์ปอดทั้งหมดเพื่อเฝ้าระวังผลกระทบ ส่วนการคัดกรองด้านสุขภาพจิต พบมีความเครียดระดับน้อย 42 คน ปานกลาง 9 คน และเครียดมาก 3 คน เจ้าหน้าที่ได้ให้การดูแล

สำหรับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม จากการตรวจวัดคุณภาพอากาศภายในอาคารของ รพ.ภาชี พบว่ายังมีค่าสารมลพิษที่เกิดจากการเผาไหม้สูงกว่าเกณฑ์ จึงต้องปิดให้บริการไปก่อน และให้ติดตามตรวจวัคคุณภาพอากาศทุกวันจนกว่าจะมั่นใจในความปลอดภัยก่อนกลับมาเปิดให้บริการ

อ่านข่าว : "พบฟอสฟีน-ซัลเฟอร์ไดออกไซด์" โกดังไฟไหม้ภาชี

ภาพ : กระทรวงสาธารณสุข

ภาพ : กระทรวงสาธารณสุข

ภาพ : กระทรวงสาธารณสุข

ประเมินสุขภาพ ปชช. อาการเบื้องต้นระดับสีเขียว

ขณะที่ นพ.อรรถพล แก้วสัมฤทธิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า กรมอนามัยส่งทีม SEhRT ศูนย์อนามัยที่ 4 สระบุรี ปฏิบัติการเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานระดับจังหวัด ประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพประชาชนในชุมชน และสำรวจเฝ้าระวังด้านสุขาภิบาล สุขอนามัยและอนามัยสิ่งแวดล้อม ภายในศูนย์อพยพและโรงพยาบาลสนาม

ซึ่งผลการตรวจวัดคุณภาพของกรมควบคุมมลพิษ พบสารเคมีอันตรายที่ปนมากับควันไฟ ได้แก่ อะคริโลไนไตรล์ ฟอสฟีน ฟอสจีน ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ พบค่าสูงกว่าปกติเล็กน้อย เป็นสารเคมีอันตรายต่อสุขภาพ กระจายอยู่โดยรอบชุมชนในระยะ 2.3 - 9.5 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับทิศทางลม ทำให้ประชาชนเกิดอาการทางสุขภาพอย่างรุนแรงได้

กรมอนามัยสำรวจกลุ่มเสี่ยง กลุ่มเปราะบาง และประเมินความเสี่ยงสุขภาพจากการรับสัมผัสควันไฟ เขม่า ขี้เถ้าและฝุ่นละอองที่มาจากการเผาไหม้ในชุมชนโดยรอบโกดังที่เกิดไฟไหม้ พบว่ามีประชาชนได้รับผลกระทบในพื้นที่ 3 ตำบล คือ ต.ภาชี ต.โคกม่วง และ ต.หนองน้ำใส มีผู้เข้ารับบริการใน รพ.สนาม 28 คน พบประชาชนมีอาการแสบตา ระคายเคืองคอจากการสูดดมเหม็นกลิ่นสารเคมีจากควันไฟ 9 คน และเบื้องต้นมีผู้เข้าพักในศูนย์อพยพ 26 คน บางส่วนกลับบ้านได้แล้ว เนื่องจากมีความปลอดภัย

อ่านข่าว : ปทส.จ่อออกหมายจับ "ผู้เช่าโกดังภาชี" พบพิรุธไฟไหม้สารเคมีซ้ำ

นอกจากนี้ยังสำรวจและประเมินการจัดการด้านสุขาภิบาลภายในศูนย์อพยพและโรงพยาบาล ประเมินคุณภาพน้ำดื่มน้ำใช้ ตรวจสอบคุณภาพอากาศและการระบายอากาศ ประเมินสุขลักษณะส้วม และการจัดการขยะภายในศูนย์อพยพและ รพ.สนาม เพื่อเฝ้าระวังความเสี่ยงโรคระบาดและลดความแออัดของผู้อพยพ

ภาพ : กรมอนามัย

ภาพ : กรมอนามัย

ภาพ : กรมอนามัย

ผลการประเมินพบว่า น้ำใช้เป็นน้ำประปาหมู่บ้านและประปาภูมิภาคอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน มีความปลอดภัย น้ำดื่มเป็นน้ำบรรจุขวดได้มาตรฐาน ส่วนอาหารเป็นอาหารบรรจุกล่อง ยังไม่มีการเปิดครัวภายในศูนย์อพยพ จากการประเมินพบว่าอาหารดังกล่าวเป็นอาหารปรุงสุกใหม่ ไม่มีกลิ่นบูด ไม่มีสีที่ผิดปกติ จึงมีความปลอดภัย ส้วมมีจำนวนเพียงพอและมีความปลอดภัย แต่ต้องปรับปรุงเรื่องความสะอาด

ศูนย์อพยพมีลักษณะเป็นอาคารเปิดโล่ง หน้าต่างกว้าง มีพัดลมระบายอากาศ สามารถระบายอากาศได้ดี จากการตรวจวัดคุณภาพอากาศมีค่าไม่เกินค่ามาตรฐาน ปลอดภัย ประกอบกับจำนวนผู้อพยพมีไม่มากนัก ยังไม่มีผู้พักค้างในศูนย์อพยพ จึงไม่มีความแออัดและมีการระบายอากาศโดยรอบที่ดี

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ได้ให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับวิธีการสังเกตสิ่งผิดปกติ หลีกเลี่ยง การป้องกันตนเองจากควันพิษ สารเคมีอย่างง่ายด้วยการสวมหน้ากากป้องกันสารพิษ และต้องอพยพออกจากบ้านทันทีเมื่อเจ้าหน้าที่แจ้งเตือน หรือหากอยู่ในพื้นที่ไม่เสี่ยงมากยังไม่ได้รับผลกระทบ ให้รีบปิดประตู หน้าต่าง ห้ามออกนอกบ้าน เพื่อลดการสูดดมและสัมผัสสารเคมีจากควันไฟ

อย่างไรก็ตาม กรมอนามัยยังขอให้หน่วยงานส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการให้อนุญาตประกอบการ เร่งทำการแจ้งให้ผู้ประกอบการ หรือผู้ครอบครองอาคาร โรงงาน โกดังสะสมสารเคมี ตรวจตราและตรวจสอบระบบทั้งหมด ทั้งการผลิต ระบบไฟฟ้า ตรวจสอบเครื่องจักร เครื่องมือ ท่อก๊าซ ห้องเก็บสารเคมีที่จะเป็นต้นเหตุของการเกิดไฟไหม้ ระเบิด หรือสารเคมีรั่วไหล เพื่อสามารถหาทางป้องกัน ซ่อมแซม แก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ชำรุด ให้มีสภาพที่ใช้งานเพื่อความปลอดภัย

อีกทั้งเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ต้องกำกับ ควบคุม ติดตามการดำเนินการของผู้ประกอบการดังกล่าวอย่างใกล้ชิด รวมทั้งต้องหาวิธีแจ้งเตือนประชาชนให้ป้องกันตนเองและอพยพได้อย่างรวดเร็วที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงผลกระทบที่จะทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพประชาชน

อ่านข่าว

แล้งจัด! เกษตรกรสุดช้ำ "ลูกทุเรียน" ร่วงเสียหายกว่า 50 ล้านบาท

สถาบันวัคซีน แจงเกิดภาวะลิ่มเลือด-เกล็ดเลือดต่ำ จากวัคซีน AstraZeneca มีน้อย

ร้อนจัด-น้ำแล้ง "ปลาตายเกลื่อน" อ่างเก็บน้ำเวียดนาม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง