วันนี้ (24 พ.ย.2564) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมสภากลาโหม พร้อมให้นโยบายผู้บัญชาการเหล่าทัพ คงมาตรการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการสกัดแรงงานผิดกฎหมายที่ลักลอบเข้าประเทศตามแนวชายแดน ปัญหาการค้ามนุษย์ รวมไปถึงการลักลอบขนสินค้าผิดกฎหมาย พร้อมทั้งให้เพิ่มความเข้มข้นในการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ เพื่อป้องการโจมตี และเจาะฐานข้อมูลของทางราชการ
พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ระบุว่า นายกรัฐมนตรียังคงกำชับเรื่อง ปัญหาแรงงานข้ามชาติ และคาดการณ์ว่า หลังช่วงฤดูฝนความรุนแรงในเมียนมา จะเพิ่มมากขึ้น อาจจะมีการใช้กำลังปราบปรามกลุ่มต่อต้าน และชนกลุ่มน้อยในฝั่งเมียนมา ซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงได้เตรียมรองรับผู้หลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ทั้งแรงงานข้ามชาติ และผู้หนีภัยจากการสู้รบตามหลักมนุษยธรรม
โฆษกกระทรวงกลาโหม ยังระบุถึงการเตรียมรถทหารมาวิ่งแทนรถบรรทุกหากเกิดการประท้วงหยุดวิ่งเพราะปัญหาราคาน้ำมันว่า ไม่ได้สั่งการเรื่องนี้เพิ่มเติม แต่ทหารพร้อมช่วยเหลือประชาชนทุกมิติ เพราะหากเกิดวิกฤตรถบรรทุกหยุดวิ่งอาจทำให้พืชผลทางเกษตรเสียหาย
ส่วนกรณีการโอนเปลี่ยนแปลงงบฯ ลับ ไปใช้จัดตั้งศูนย์บัญชาการกระทรวงกลาโหม ที่ผ่านความเห็นชอบของ ครม.ไปแล้ว ไม่มีการหารือในที่ประชุมสภากลาโหม แต่ยืนยันว่า เป็นการใช้งบฯ ลับตามระเบียบของทางราชการและตรวจสอบได้
สำหรับศูนย์บัญชาการทางทหารกระทรวงกลาโหม มีบทบาทหน้าที่ดูแลเรื่องของความมั่นคงทุกมิติในเชิงนโยบาย ทั้งการช่วยเหลือประชาชน และดูแลความสงบเรียบร้อย ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อใช้ในภารกิจใดภารกิจหนึ่ง หรือตั้งขึ้นมาเพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังใช้ประสานงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคงทั้งภายในและต่างประเทศ
รายงานข่าวแจ้งว่า การขออนุมัติงบฯ ลับ ของกระทรวงกลาโหม อยู่ในแผนงานยุทธศาสตร์พัฒนาศักยภาพการป้องกันประเทศ ซึ่งงบประมาณที่ใช้จำนวน 21.69 ล้านบาท โดยมีการจัดตั้งศูนย์บัญชาการกลาโหม สำหรับปฏิบัติการทางยุทธการในระดับนโยบาย การประชุมกับต่างประเทศ และประสานภารกิจร่วมกันระหว่างกระทรวง แต่ระดับปฏิบัติจะมีศูนย์บัญชาการทหาร ของกองทัพไทยประสานการทำงานระหว่างเหล่าทัพ