กองปราบฯ จับหนุ่มหลอกจำนำรถ ก่อเหตุหลายครั้ง มีผู้เสียหายกว่า 100 คน

อาชญากรรม
7 ธ.ค. 64
12:45
620
Logo Thai PBS
กองปราบฯ จับหนุ่มหลอกจำนำรถ ก่อเหตุหลายครั้ง มีผู้เสียหายกว่า 100 คน
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ตำรวจกองปราบปรามจับผู้ต้องหาหลอกจำนำรถยนต์แล้วนำรถไปขายต่อในเพจรถยนต์มือสอง โดยบางครั้งนำส่งขายประเทศเพื่อนบ้าน ตำรวจเตือนการกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายยักยอกทรัพย์ ส่วนผู้ที่รับซื้อรถไปอาจเข้าข่ายรับของโจร

วันนี้ (7 ธ.ค.2564) ตำรวจกองปราบปราม จับผู้ต้องหาเปิดเพจเฟซบุ๊กปล่อยเงินกู้ แล้วให้นำรถยนต์มาค้ำประกัน ก่อนนำรถไปส่งขายต่อให้กลุ่มนายทุน พบมีผู้เสียหายมากกว่า 100 คน

ตำรวจยึดรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซีอาร์-วี จากผู้ต้องหาคนหนึ่ง ในขบวนการหลอกจำนำรถยนต์แล้วนำรถไปขายต่อในเพจเฟซบุ๊ก และบางครั้งนำส่งขายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

 

พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผู้บังคับการปราบปราม เปิดเผยว่าหลังจากได้รับร้องเรียนจากผู้เสียหายจำนวนมาก ว่าได้นำรถยนต์ของตัวเองไปค้ำประกันเงินกู้ แต่เมื่อนำเงินไปไถ่ถอนรถ กลับถูกบ่ายเบี่ยงและไม่ได้รับรถคืน

 

ตำรวจจึงสืบสวนพบว่า รถของผู้เสียหายถูกนำไปประกาศขายต่อในเพจขายรถยนต์มือสอง จึงวางแผนติดต่อขอซื้อและโอนเงินค่ามัดจำไปก่อน 10,000 บาท ก่อนจะติดต่อขอรับรถย่านบางเขน เมื่อถึงเวลานัดหมายผู้ต้องหาก็นำรถมาให้ ตำรวจจึงแสดงตัวจับผู้ต้องหา และนำรถมาให้ผู้เสียหายตรวจสอบ ยืนยันว่าใช่รถของตัวเอง

 

ผู้เสียหาย เล่าว่าก่อนหน้านี้มีปัญหาเรื่องเงิน จึงตัดสินใจนำรถไปจำนำที่เพจนี้ เพื่อกู้เงิน 30,000 บาท โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 10 พร้อมกับค่าจอดรถ 2,000 บาทต่อเดือน จากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ก็จะนำเงินมาไถ่รถคืน แต่ถูกบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความ เนื่องจากเชื่อว่า รถของตัวเองถูกนำไปส่งขายที่อื่นแล้ว

สำหรับรถยนต์ที่ผู้เสียหายนำไปจำนำ พบว่ายังอยู่ระหว่างการผ่อนจ่ายจากไฟแนนซ์ ตำรวจจึงเตือนว่า การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายความผิดฐานยักยอกทรัพย์ได้ ส่วนกลุ่มผู้ที่รับซื้อไปอาจเข้าข่ายรับของโจร

 

สำหรับคดีนี้ตำรวจกำลังตรวจสอบทั้งเส้นทางการเงิน และกลุ่มผู้ต้องหาเพิ่มเติมว่าจะเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมายอื่นหรือไม่

แต่เบื้องต้นพบว่ากลุ่มผู้ต้องหาตั้งใจเปิดเพจเฟซบุ๊กเพื่อหวังทรัพย์สินของผู้เสียหาย และเชื่อว่ายังมีผู้เสียหายมากกว่า 100 คน จากการตรวจสอบประวัติพบว่า เคยก่อเหตุลักษณะนี้มาแล้วหลายครั้ง

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง