วันนี้ (5 เม.ย.2566) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธีวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงกลาโหม ครบ 136 ปี โดยมี พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม พร้อมด้วย ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ยกเว้น พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งติดภารกิจ มอบ พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ เสนาธิการทหารบกร่วมพิธีแทน
โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้นำสักการะเจ้าพ่อหอกลอง และสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญภายในศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม ก่อนจะร่วมพิธีสงฆ์ ที่ห้องพินิตประชานาถ ในศาลาว่าการกลาโหม
ทั้งนี้ระหว่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ ปักธูปบวงสรวงลงบนเครื่องเซ่นในพิธีสักการะ เจ้าพ่อหอกลอง มีบางจังหวะที่ไม่ถนัด เนื่องจากมือขวายังคงมีอาการบาดเจ็บอยู่ ซึ่งบางช่วง มีอาการสะดุ้งเล็กน้อย เพราะมือถูกปลายธูปร้อนหลายครั้ง
สำหรับการมาเป็นประธานในพิธีสถาปนากระทรวงกลาโหม ของพล.อ.ประยุทธ์ ถือว่าเป็นครั้งสุดท้ายในฐานะ รมว.กลาโหมรัฐบาลนี้ โดยได้ร่วมรับประทานอาหารเช้ากับปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการเหล่าทัพ ซึ่งปีที่ผ่านมาไม่ได้มีการรับประทานอาหารร่วมกัน เพราะเป็นช่วงสถานการณ์โควิด
นายกฯ ขอทุกฝ่ายร่วมกันสร้างบ้านเมืองสงบเรียบร้อย
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุหลังเป็นประธานงานสถาปนากระทรวงกลาโหมครบรอบ 136 ปีว่า วันนี้ถือเป็นวันสำคัญ แสดงให้เห็นว่า กระทรวงกลาโหมอยู่คู่บ้านคู่เมืองมายาวนาน ด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ทรงก่อตั้งไว้ ในวันนี้จึงต้องช่วยกันรักษาให้ดำรงไว้ ซึ่งความเป็นปึกแผ่นของ เหล่าทัพและกระทรวงกลาโหม
ทั้งนี้อยากจะบอกว่า เราต้องรักบ้านรักเมืองของเราให้มาก เพราะเป็นบ่อเกิดของความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ถ้าบ้านเมืองไม่สงบเรียบร้อยหรือมีปัญหามาก ก็จะส่งผลให้โอกาสหลายเรื่องหายไปทันที รวมไปถึงในมุมมองของต่างประเทศด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้หยิบยกพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 ตอนหนึ่งว่า ชาติใดไร้รักสมัครสมานจะทำการสิ่งใดก็ไร้ผล แม้ชาติย่อยยับอับ จนบุคคลจะอยู่สุขอย่างไร โดยขอฝากให้ทุกคนได้ระลึกถึงเผื่อว่าจะทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยขึ้น ทั้งนี้เพื่อจะก้าวเข้าสู่เวทีโลกได้อย่างสมศักดิ์ศรีและสง่างาม เพราะในวันนี้มุมมองของแต่ละประเทศต่างมองกันและกัน
โดยขอให้ติดตามพัฒนาการด้านความมั่นคงของทุกประเทศด้วยโดยเฉพาะประเทศรอบบ้านของเรา สถานการณ์รอบบ้านของเรา เพราะถ้าประเทศสงบเรียบร้อย ก็จะสามารถใช้ศักยภาพที่มีอยู่แล้วอย่างเต็มที่ในหลายมิติทางด้านความมั่นคง สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีความสำคัญต่อประชาชนมากที่สุด
พร้อมทั้งขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกคนและขอให้ช่วยกันนำพาบ้านเมืองไปสู่ความปลอดภัย อย่าให้เกิดวิกฤตการณ์ต่างๆ ที่จะทำให้ประเทศชาติเสียหาย ทั้งช่วงนี้และช่วงต่อไป
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ไม่ตอบคำถามถึงกรณีที่ออกมาย้ำเตือนในเรื่องของความสงบเรียบร้อย เพราะมีสัญญาณไม่ปกติหรือความวุ่นวายหรือไม่ โดยระบุเพียงว่าหลายๆ อย่างรู้กันอยู่แล้ว