ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ศึกนอกไม่จบ ศึกในรุมเร้า “มรสุม” ทักษิณ-เพื่อไทย ในคืนข้างแรม

การเมือง
18:02
317
ศึกนอกไม่จบ ศึกในรุมเร้า “มรสุม” ทักษิณ-เพื่อไทย ในคืนข้างแรม

ไม่ต่างกับการถูกติดตั้งระเบิดเวลา นับถอยหลังไปเรื่อย ๆ หากจับสัญญาณเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ถูกตีล้อมหนักหน่วงทุกด้าน ศึกนอกรุมเร้าหลังแอ่น เมื่อการประชุมคณะกรรมา ธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 จบลง เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา ไทย-กัมพูชา มีการลงนามบันทึกข้อตกลง แต่ไม่มีข้อยุติ

โดยสมเด็จฮุนเซ็น ประธานวุฒิสภากัมพูชา และ”ฮุน มาเน็ต” นายกรัฐมนตรี ยืนกรานจะนําพื้นที่พิพาท 4 จุด คือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควายและช่องบก แต่ไทยไม่ยินยอมและไม่ขึ้นสู่ศาลโลก แม้กัมพูชาจะยึดแผนที่ 1 : 200,000 ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงของไทยยึดแผนที่ 1 : 50,000 สงครามครั้งนี้ “การเจรจา” เพื่อหาทางออกจึงยากกว่าเข็นครก

โดย ประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนไทย-กัมพูชา ฝ่ายไทย ระบุถึงผลการประชุมดังนี้

1) รับรองผลการประชุมคณะอนุกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Technical Sub-Committee (JTSC)) ครั้งที่ 4 (14 กรกฎาคม 2567) ณ เมืองเสียมราฐ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันต่อตำแหน่งที่ตั้งของหลักเขตถึง 45 หลัก ขณะที่อีก 29 หลักยังตกลงกันไม่ได้

2) เห็นชอบให้นำเทคโนโลยี LiDAR มาใช้ในการจัดทำภาพถ่ายทางอากาศเพื่อความรวดเร็วในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน โดยต้องคุยรายละเอียดค่าใช้จ่าย และแผนการดำเนินงานเพิ่มเติม

3) เห็นชอบให้มีการจัดทำข้อกำหนดทางเทคนิคการเดินสำรวจ (Technical Instruction) ในพื้นที่ตอนที่ 6 (จากเขาสัตตะโสม จนถึงหลักเขตแดนที่ 1 ช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ) ซึ่งเป็นประเด็นคงค้างมาตั้งแต่ปี 2554 โดยมอบหมาย JTSC จัดทำข้อกำหนดทางเทคนิคการเดินสำรวจ ไปพร้อม ๆ กับการจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศเพื่อเสนอต่อ JBC ต่อไป

และย้ำว่า ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ เรื่องแผนที่ 1:200,000 เนื่องจาก ไม่มีการหารือในเรื่องนี้

ส่วนศึกภายของรัฐบาล ก็ไปต่อได้ยาก โดยเฉพาะการปรับครม.ที่ “ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่พรรคเพื่อไทย ต้องการเรียกกระทรวงมหาดไทย กลับคืนมาจากภูมิใจไทย และกระทรวงพลังงาน จากพรรครวมไทยสร้างชาติ แม้จะไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย เพราะทั้ง 2 พรรค แสดงจุดยืนชัดว่า พร้อมเป็นฝ่ายค้าน หากถูกปรับออก

การเปลี่ยนหน้าไพ่ใหม่ ถ้าพิจารณาจากตัวเลข ปัจจุบัน สส.ในสภามีจำนวน 495 เสียง เป็นรัฐบาลผสม จาก 12 พรรคการเมือง รวม 325 เสียง หากเพื่อไทย ปรับภูมิใจไทยออก 69 เสียง จะเหลือ 256 เสียง และแบ่งซีกของพรรครวมไทยสร้างชาติ ในปีกพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคออก 18 เสียง (ไม่รวมกับซีก สุชาติ ชมกลิ่น รองหัวหน้าพรรคฯ จำนวน18 เสียง) รัฐบาลจะเหลือ 238 เสียง

ในกรณีที่เกิด “อุบัติเหตุ”ที่คาดไม่ถึง ภูมิใจไทย และรวมไทยสร้างชาติ รวม 87 เสียง มารวมกับพรรคฝ่ายค้านที่มีอยู่ 170 เสียง รวมได้ 257 เสียง และหากดึงพรรคชาติไทยพัฒนามาได้อีก 10 เสียง รวม 267 เสียง ก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำได้ไม่ยาก ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับว่า “ทักษิณ” จะใจถึงกล้าเสี่ยงหมากเกมนี้หรือไม่ ขณะที่กฎหมายกาสิโน ภายใต้การสนับสนุนของเพื่อไทย ยังรอจ่ออยู่ในสภา

นอกจากนี้การเปิดเกมรุกของค่ายสีน้ำเงิน ก็มองข้ามไม่ได้ หากไม่นับรวมการลงพื้นที่ภาคอีสาน การไปเยือนพื้นที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ของ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย “อนุทิน ชาญวีระกูล” ในฐานะ รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ถึง 3 ครั้ง

หลังเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้ลงพื้นที่จ.อุดรธานี เปิดตัว 2 สส.พรรคไทยสร้างไทย คือ อดิศักดิ์ แก้วมุงคุณทรัพย์" สส.อุดรธานี และ หรั่ง ธุระพล ที่เตรียมย้ายซบค่ายสีน้ำเงิน ไม่รวมกับการเปิดตัวของกลุ่มบ้านใหญ่มะขามหวาน “สันติ พร้อมพัฒน์” อดีตรองหัวหน้าพรรคพปชร.และ “อัครเดช ทองใจสด”นายกอบจ.เพชรบูรณ์ ที่จะนำ 6 สส. เข้าสังกัดครูใหญ่บุรีรัมย์ “เนวิน ชิดชอบ” ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

ด้านหนึ่งนอกจากจะป้องกัน “การตีกิน” เพื่อไม่ให้ “ซุ้มมะขามหวาน” ถูกนำชื่อไปแอบอ้างทางการเมืองแล้ว ยังถือเป็นสัญญาใจกับค่ายสีน้ำเงินว่า “ไม่แปรพักตร์” แน่นอน

ล่าสุดวันนี้ ( 16 มิ.ย.) อนุทิน ได้เดินทางลงพื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี พร้อม “พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา” องคมนตรี และอัญเชิญสิ่งของพระราชทาน เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้ ทหารกองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ชายแดนไทย-กัมพูชา

หลังปฎิบัติภารกิจเสร็จสิ้น “อนุทิน” เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อพบนายก รัฐมนตรี และตอบคำถามนักข่าวว่า คุยหลายเรื่อง โดยรายงานเรื่องที่เพิ่งกลับมาจากการลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.อุบลราชธานี

โดยเย็นวันนี้ (16 มิ.ย.)พรรคภูมิใจไทยได้มีการเรียกประชุมกรรมการบริหารพรรค รัฐมนตรี และสส. ณ ที่ทำการพรรคภูมิใจไทย และยังคงต้องรอลุ้นว่าจะมีเรื่องการปรับครม.หรือไม่ หรือเป็นการหารือตามปกติ

หันกลับมาดูหมากในกระดานของ “ทักษิณ” อดีตนายกฯ ที่พยายามจะรุกฆาตค่ายสีน้ำเงินจากปมคดีฮั้วเลือกตั้วสว.โดยคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนส่วนกลาง คณะที่ 26 (พนักงานสอบสวนดีเอสไอและเจ้าหน้าที่กกต.)ได้ส่งหนังสือแจ้งบุคคล ที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการฮั้ว ฯ ล็อต 7 จำนวน  20 คนเข้าในปากคำ

จำนวนนี้นอกจากครูใหญ่ “เนวิน” และ “อนุทิน” แล้ว ยังมี ไชยชนก ชิดชอบ, ภราดร ปริศนานันทกุล ,กรวีร์ ปริศนานันทกุล ,สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ , เจเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์ หลานชาย ชาดา ไทยเศรษฐ์ และ สส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย โฆษกพรรคภูมิใจไทยด้วย... แต่กว่าทุกกระบวนการจะเสร็จสิ้น คงต้องใช้เวลาอีกนาน

แม้ “ภูมิใจไทย” จะเจอพายุลูกใหญ่คดีฮั้วสว. แถมยังมีแผล”คดีเขากระโดง”เป็นจุดอ่อน แต่ใช่ว่า“ทักษิณ” จะมาเหนือ เพราะยังต้องเจอมรสุมหนักจากคดีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ “ต่อท่อ” อนุญาตให้ขยายเวลายื่นคำชี้แจงจนถึงวันที่ 23 มิ.ย. นี้ ก่อนจะมีคำสั่งใด ๆ ออกมา

ขณะเดียวกัน “ทักษิณ”ก็ยังมีคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยศาลอาญาฯจะนัดสืบพยานปากแรกวันที่ 1 ก.ค.นี้ด้วยเช่นกัน

ส่วนบุตรสาว “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ก็ต้องเจอ “บ่วงรัด” หลังป.ป.ช.รับไต่สวนกรณี รัฐบาลกระทำผิดฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ในการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 โดยการตัดลดงบประมาณจำนวน 35,000 ล้านบาท ที่เดิมจัดสรรไว้สำหรับการชำระหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 5 แห่ง ถูกนำไปใช้ในโครงการแจกเงิน 10,000 บาท

กรณีนี้ หากป.ป.ช.นำเรื่องส่งศาล และในกรณีที่ศาลฯ มีคำวินิจฉัยว่าผิดตามมาตรา167 (4)ก็จะมีผลให้รัฐ บาลต้องสิ้นสภาพ ถูกกวาดทั้งกระดาน ตั้งแต่ยุคเศรษฐา ทวีสิน มาถึง แพทองธาร ถือเป็นการปิดฉากนักเมืองและสว.ไปเลย

สถานการณ์ทางการเมืองของ “ทักษิณ- เพื่อไทย-แพทองธาร” นับจากนี้ยังรอวัน “ปะทุเดือด” ไม่ว่าจะศึกนอกหรือใน มองไปทางไหนก็ปั่นป่วน จึงน่าจับตาว่า รัฐบาลจะสะดุดขาตัวเองล้ม หรือจะถูกทำให้ล้มลงจากกลไกตามกฎหมาย

อ่านข่าว

 หลุมพรางกัมพูชา “ฮุน เซน” เหลี่ยมจัด ดึง “ไทย” ขึ้นสู่ศาลโลก

ถอดรหัสกาย “สมศักดิ์” อวสาน “ทักษิณ” คดีชั้น 14 รพ.ตำรวจ ?