สีหน้าเคร่งเครียด ปากเม้มแน่น การเม้มปาก ตาหลุบลงต่ำ ของ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.สาธารณสุข หลังเข้าชี้แจงอต่อคณะกรรมการแพทย์สภา เมื่อบ่ายวานนี้ (12 มิ.ย.2568) ท่ามกลางเสียงมวลชนที่ โห่ร้องขับไล่ที่กระทรวงสาธารณสุข คือ ภาษากายที่แสดงออกบนใบ หน้าอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ข้อมูลจากหนังสือคู่มืออ่านคนฉบับเอฟบีไอ เขียนโดย Joe Navarro ระบุไว้ว่า ในทางจิตวิทยา การเม้มปากเข้าหากัน ดูเหมือนว่า สมองส่วนลิมบิกกำลังบอกให้เราปิดปากให้สนิท อย่ายอมให้อะไรเข้ามาในร่างกาย การเม้มปากจึงเป็นอาการที่บ่งบอกว่าคนนั้นกำลังเจออะไรที่ผิดปกติ หรือกำลังมีปัญหาอยู่
แต่ถึงแม้ว่า การเม้มปากจะเป็นสิ่งที่แสดงถึงความรู้สึกเชิงลบ ก็ไม่ได้หมาย ความว่า คนที่เม้มปากคือคนที่กำลังโกหก เพียงแต่เขากำลังเครียดเท่านั้น
เมื่อริมฝีปากหายไป และมุมปากตกลงมา แสดงว่าอารมณ์และความมั่นใจอยู่ในระดับต่ำ ในขณะที่ความกลัว ความเครียดและความกังวลเพิ่มสูงขึ้น

การวีโต้ ของ “สมศักดิ์”ในตำแหน่ง “สภานายกพิเศษ” แห่งแพทย์สภา ไม่เพียงฝืนกระแสสังคมส่วนใหญ่ ยังใช้ข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นในประเด็น “ทำเพื่อหมอรุ่นใหม่” เนื่องจากมองว่า มติเกือบเอกฉันท์ของแพทย์สภาในการลงโทษ แพทย์ 3 คน ด้วยการกล่าวตักเตือน 1 ราย และพักใช้ใบประกอบวิชาชีพ 2 ราย เป็นการลงโทษที่รุนแรงเกินไป
แต่ต้องไม่ลืมว่า สัดส่วนของคณะกรรมการแพทย์สภา ประกอบด้วยกรรมการโดยตำแหน่งจำนวน 35 คน แล้ว ยังมีอีก 35 ที่มาจากการเลือกตั้ง สัดส่วนครึ่งต่อครึ่ง แต่เมื่อวานนี้ มีกรรมการเข้าประชุม 68 คนจากจำนวนกรรมการที่มีสิทธิลงคะแนน 69 คน มีมติออกเสียงเกินกว่า 2 ใน 3 ของกรรมการที่มีสิทธิลงคะแนน ยืนตามมติเดิมเมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2568 จึงชัดยิ่งกว่าชัด “แพทย์” ไม่ต้องการให้ฝ่าย “การเมือง”เข้าแทรกแซงการทำงาน
ท่ามกลางเสียงตะโกนไล่รมว.สาธารณสุข “ออกไป” แต่ “ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระ ทรวงสาธารณสุข “มือขวา”ของสมศักดิ์ กล่าวกับนักข่าวว่า “ขอหมออย่ารังแกนักการเมือง” และโชว์มือถือรูปตัวเองใส่ชุดทนายความ

ดังนั้น การเคลื่อนไหวของ “สมศักดิ์”และผู้ช่วยรมว.สาธารณสุข จึงไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า นอกจากออกมาปกป้อง “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทยแล้ว ยังต้องการรักษาเก้าอี้ของตัวเอง เพราะก่อนหน้านี้มีการระบุว่า
หากมีการปรับครม. “สมศักดิ์” อาจจะต้องพ้นตำแหน่งรมว. สาธารณสุข และกลับไปเป็นรองนายก ฯ ขาลอย เนื่องจากพรรคเพื่อไทยต้องทวงกระทรวงมหาดไทยคืนจาก “อนุทิน ชาญวีระกูล” รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย โดยจะให้สลับกับตำแหน่งรมว. สาธารณสุข
ขณะที่ “ทักษิณ” จะต้องฝ่าวิกฤต หลังมติแพทย์สภา เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อาจต้องใช้เป็นหลักฐานประกอบสำนวนคดีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
วันนี้ ( 13 มิ.ย.) ทักษิณ ไม่ได้เดินทางมาศาล แต่มอบหมายให้ “วิญญัติ ชาติมนตรี” ทนาย ความเดินทางมาแทน โดยศาลอนุญาตให้ “ทักษิณ” สามารถขยายคำชี้แจงในคดีดังกล่าวได้ถึงวันที่ 23 มิ.ย.

หลังจากศาลฯไต่สวน ”มานพ ชมชื่น” ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพ แล้วเสร็จ และได้มีคำสั่งเรียกสอบพยานเพิ่มอีก 20 ปาก มาไต่สวนในวันที่ 4, 8 และ 15 ก.ค.2568 ที่จะถึงนี้ ดังนั้น ทักษิณ จึงมีเวลาอีกหลายอึดใจในการนำพยานและหลักฐานที่มีอยู่มาชี้แจง
ก่อนหน้าที่จะเป็นรมว.สาธารณสุขในรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร “สมศักดิ์” เป็นรองนายกฯ ในยุครัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน มาก่อน และเป็นรมว.ยุติธรรม ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สังกัดพรรคพลังประชารัฐ
เล่นการเมือง ตั้งแต่ปี 2526 จนถึงในวัย 70 ปี “สมศักดิ์” ไม่เคยเป็นฝ่ายค้าน และไม่เคยอภิปรายในฐานะฝ่ายค้าน ไมว่าซีกไหนจะชนะเลือกตั้งจัดตั้งรัฐบาลได้ เขาไม่เคยอยู่ข้างฝ่ายแพ้
มีความสนิทแนบแน่นกับพรรคไทยรักไทย ของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯอยู่ในกลุ่มวังน้ำยม แม้จะถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี หลังไทยรักไทยถูกยุบเนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรค ฯ และมาตั้งกลุ่มใหม่ “มัชฌิมา” ในสังกัดพรรคประชาราชของ “เสนาะ เทียนทอง” และย้ายมาพรรคมัชฌิมาธิปไตย ก่อนจะถูกยุบอีกครั้ง

ในปี 2557 “สมศักดิ์” ย้ายมาอยู่พรรคภูมิใจไทย แต่ย้ายกลับเข้าพรรคเพื่อไทย ต่อมาในปี 2561 หลังเกิดรัฐประหาร “สมศักดิ์” นำกลุ่มสามมิตรเข้าสัง กัดพรรคพลังประชารัฐกับ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หลังเลือกตั้งได้รับตำแหน่งรมว.ยุติธรรม
และลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2566 กลับเข้าพรรคเพื่อไทยอีกรอบ ได้เป็นสส.บัญชีรายชื่อ มีตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แทนนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย หลังเศรษฐา 1 ปรับครม.

ไม่แปลกที่ ภาษากายของ “สมศักดิ์” จะออกมาในลักษณะเคร่งเครียด ด้วยเหตุมติแพทย์สภา ไม่เพียงเป็น “สารตั้งต้น” และต้อนให้ “ทักษิณ” และพรรคเพื่อไทยต้องเข้ามุมอับทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังหมายถึงชะตากรรมของเขาเองด้วยเช่นกัน
และคำกล่าวของ “สมศักดิ์”ที่แนะกับแพทยสภาว่า “ ...หากเกิดขึ้นกับลูกหลานเขาเอง หรือถ้าเขามีความรู้สึกมันผิดอยู่ในใจบ้างเล็กน้อย ก็ทบทวนเถอะ ” จะเป็นการบอกความรู้สึกที่อยู่ในใจของตนเองหรือไม่ ใคร ๆ คงยากที่จะตอบแทนได้
อ่านข่าว:
“รทสช.” ทุนหาย-กำไรหด กลุ่มทุนพลังงานแจ้งเกิด “โอกาสใหม่”
ครบรอบ 50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน "โอกาสคนรุ่นใหม่" เขียนอนาคต