ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ครบรอบ 50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน "โอกาสคนรุ่นใหม่" เขียนอนาคต

ต่างประเทศ
12:22
152
ครบรอบ 50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน "โอกาสคนรุ่นใหม่" เขียนอนาคต
อ่านให้ฟัง
10:34อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)

วันนี้ ผู้นำทางตะวันตก ดูจะถอยตัวเองออกจากบทบาทของการที่จะเป็นผู้รักษากติกาของโลก จึงเป็นโอกาสของจีน อาเซียนและไทย ในการเชื่อมโยงเข้าหาประเทศต่าง ๆ เพื่อสร้างระเบียบใหม่ และเรียนรู้ว่า การเปิดประ เทศ การเคารพกติกา และการมีกลไกพหุภาคี ที่ทุกฝ่ายเคารพ คือ พื้นฐานสำคัญที่สุดของการสร้างหลักประกัน เพื่อสร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง 2 ประเทศ ที่แม้จะมีความเห็นต่าง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ การให้เกียรติซึ่งกันและกัน

คำกล่าวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี องค์ปาฐก กล่าวในงานเสวนาครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน : มองอดีต สู่โอกาส" จัดโดย ศูนย์ Thai PBS World องค์กรกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ร่วมกับศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน ( TCSC ) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.2568

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไทยไม่ใช่ประเทศแรกในอาเซียนที่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน แต่มาเลเซีย คือ ประเทศแรกที่เดินหน้าไปก่อนไทย 1 ปี หากมองย้อนอดีตในช่วงที่มีการต่อสู้ในเชิงอุดมการณ์ในระดับภูมิภาค และไทยได้เผชิญกับการคุกคาม ในเรื่องการต่อสู้ ของพรรคคอมมิวนิสต์ประเทศไทย
การที่รัฐบาล นำโดย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นรัฐบาลผสม และมีเสถียรภาพทางการเมืองน้อยมาก ได้ตัดสินใจที่จะปรับแนวทางเข้ากับนโยบายต่างประเทศ ถือเป็นเหตุการณ์ที่มีความหมายและมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

หากมองจากมุมของจีน เมื่อปี 2518 ระยะเวลาเพียง 20 ปี หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ปัญหาเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมจีนรุนแรงมาก จึงทำให้แนวทางที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศยังไม่มีความชัดเจนนัก ดังนั้นการสถาปนาทางการทูตจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงแนวทางครั้งใหญ่ของประเทศที่มีระบบการเมืองการปกครองแตกต่างกัน

“มีการนำหลักปฏิบัตินิยมเข้ามาถ่วงดุล การดำเนินนโยบายที่อิงกับเรื่องของระบอบ ระบบอุดมการณ์หรือค่านิยม และการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีความแตกต่างกันเช่นนี้ หัวใจสำคัญ คือการให้เกียรติซึ่งกันและกัน และไม่แทรกแซงในกิจการภายในซึ่งกันและกัน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

และระบุอีกว่า การตัดสินใจในครั้งนั้น ทำให้มองเห็นประโยชน์เกือบทุกด้าน ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ทั้งการลดภัยคุกคามจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ขณะที่ประเทศไทยก็ได้สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและอื่น ๆ เพิ่มขึ้นและนำมาสู่การค้าการลงทุนและอื่น ๆ ด้วย

โดยเฉพาะความสัมพันธ์ไทย-จีน เพิ่มขึ้นในทุกด้าน ตั้งแต่ระดับราช วงศ์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเยือนประเทศจีนครบทุกมณฑล ซึ่งหาที่อื่นไม่ได้ และยังเคยมีการลงคะแนนในเรื่องของมิตรของประเทศจีน และกรมสมเด็จพระเทพฯก็ทรงเป็นหนึ่งที่ชาวจีนได้ยกย่องว่าเป็นมิตรของเขา

อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า การเติบโต้ด้านเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่เห็นชัดเจน ทั้ง การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว การแลกเปลี่ยนทางสังคม วัฒนธรรม และการศึกษาจะเห็นได้ว่าในจีนมีนักศึกษาไทยเดินทางไปศึกษาต่อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนนักศึกษาจีนก็เข้ามาเรียนในประเทศไทยจำนวนมาก ซึ่งการแลกเปลี่ยนทุกระดับถือเป็นพื้นฐานสำคัญ

อย่างไรก็ตาม หากเจาะลึกลงด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ หลังจาก 10 ปีที่จีน-ไทยมีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ก็มีการตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจและการค้าโดยปี 2544 ไทยได้ประกาศร่วมมือในเชิงยุทธศาสตร์ ต่อมาปี 2555 มีการพูดคุยในเรื่องการเป็นหุ้นส่วนในเชิงยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน

ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ไทย-จีน ก็ได้ประกาศการเป็นประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน ส่วนหนึ่งเกิดจาก 2 ประเทศก็มีการพัฒนาความสัมพันธ์ด้วย ขณะที่จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก

ส่วนไทย ในรอบ 50 ปี ก็สามารถปรับตัวเองจากประเทศที่มีรายได้ขั้นต่ำ มาเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางขั้นสูง แต่การค้าการลงทุน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเลขเพียงอย่างเดียว ภาคเอกชนคงยืนยันได้ว่า การสร้างพันธมิตรเพื่อแลกเปลี่ยนทางธุรกิจควบคู่ไปกับการอำนวยความสะดวก หรือการร่วมมือกันในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญ

เมื่อ 25 ปีที่แล้ว มูลค่าการค้าไทย-จีนอยู่ที่ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบันเพิ่มเป็น 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และจีนได้กลายเป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของไทยมานานถึง 14 ปี ไทยก็เป็นคู่ค้าที่อยู่15- 20 อันดับแรกของจีนเช่นเดียวกัน

ด้านการลงทุน ถือว่า กลุ่มบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ถือเป็นบริษัทแรกๆที่เข้าไปลงทุนในจีน และกลายเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีความสำคัญและเป็นผู้เล่นสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนในช่วงแรกที่จีนเปิดประเทศ และปัจจุบันจีนก็กลายเป็นผู้ลงทุนอันดับ 1 ในประเทศไทย มีมูลค่าอยู่ที่ 16,500 ล้านเหรียญสหรัฐ

ส่วนการท่องเที่ยวช่วงก่อนโควิดพบว่า 1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากต่างประเทศ คือ ชาวจีน นี่คือรูปธรรมของความสำเร็จในการกระชับความสัมพันธ์ ที่สร้างโอกาสมากมาย ยังไม่นับรวมเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนามาตลอด

ที่สำคัญหากวัดความเป็นเพื่อนที่ดีกันจริง ๆ ช่วงที่มีเหตุการณ์วิกฤตต้มยำกุ้ง หากในวันนั้นจีนตัดสินใจที่จะลดค่าเงิน เชื่อว่าวิกฤตในประเทศไทยจะรุนแรงมาก แต่จีนก็มีความตั้งใจและส่งสัญญาณว่าไม่ต้องกังวลจะไม่ทำเช่นนั้น เพื่อประคับประคองประเทศต่าง ๆ ที่กำลังเผชิญวิกฤตการเงินในภูมิภาคนี้ให้สามารถแก้ไขปัญหาและฟื้นตัวขึ้นมาได้ ในช่วงที่เกิดวิกฤตทางการเงินโลก

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า บนพื้นฐานของความสัมพันธ์เช่นนี้ ปัจจุบันมีหลายเรื่องสินค้าและปัญหาที่เกิดจากคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ไม่ได้เป็นตัวแทนของประเทศ แต่ปัญหาหลัก ๆ อยู่ที่ผู้มีอำนาจของรัฐบาล เพราะสำคัญที่สุด คือ การรักษาและการบังคับใช้กฎหมาย หากรัฐบาลมีประสิทธิภาพ ในเรื่องนี้ ถ้าคนท้องถิ่นหรือคนต่างชาติสร้างปัญหา ก็ต้องจัดการปราบปราม ไม่ให้เป็นเงื่อนไขที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและไม่พอใจซึ่งกันและกัน

เรื่องนี้ไม่ควรมองข้าม เพราะขณะนี้ทั่วโลก ความขัดแย้งระหว่างประเทศเกิดขึ้นง่ายมากและการสร้างกระแสให้เกิดความไม่พอใจคนต่างชาติเกิดขึ้นได้เร็ว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กรณีที่เกิดปัญหาด้านการดำเนินนโยบายต่าง ๆ การรักษาพันธสัญญา ข้อผูกมัด หรือการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาว่า ปัญหาของทั้ง 2 ประเทศจะจัดการอย่างไร เช่น การลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูง ซึ่งฝ่ายจีนอาจตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทย หรือเปลี่ยนแปลงผู้รับผิดชอบ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในสิ่งที่เป็นข้อตกลงหรือพันธะสัญญาก่อนหน้า ซึ่งปัญหาดังกล่าวต้องเก็บมาเป็นบทเรียน

รวมทั้งปัญหาการท่องเที่ยวที่ปัจจุบันนักท่องเที่ยวจีนลดลงมาก จากเหตุความกังวลเรื่องความปลอดภัย หากต้องการคลี่คลายปัญหานี้ให้ได้ การแลกเปลี่ยนข้อมูลของ 2 ประเทศว่า ต้นตอของปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไข และมาตรการที่จำเป็น คืออะไร เพื่อสื่อสารให้ประชาชนของทั้งสองประเทศรับทราบข้อมูลให้ไปในทิศทางเดียวกัน

แม้แต่ในภาคเศรษฐกิจเอง ต้องยอมรับว่า การขาดดุลทางการค้า เราต้องทำให้การค้าสมดุลได้อย่างไร หรือจะทำอย่างไร หากมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงกดดันที่จะทำให้เกิดการทบ ทวนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ประเด็นหลัก ไม่ได้อยู่ที่ว่า เราจะต้องทำให้การค้าสมดุล แต่อาจจะต้องช่วยกันดูว่า จะลดความไม่สมดุล หรือทำให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้นในสายตาของผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างไร

“ไม่ว่าจะเป็นอุปสรรคการค้า ที่ไม่ใช่ตัวภาษี หรือเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ทำให้เกิดความไว้วางใจและความรู้สึก ในการที่จะเดินหน้าขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เพราะทุกคนมีความมั่นใจในแง่ความเป็นธรรม...แต่โอกาสที่กำลังรออยู่ข้างหน้าก็มีมาก”

อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โอกาสเติบโตของคนรุ่นใหม่กำลังรออยู่ ทั้งเรื่องการวิจัย การศึกษาการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านสุขภาพ โดยเฉพาะกระแส 2 เรื่องหลักด้านเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมที่จะขับเคลื่อนโลก ซึ่งจะสร้างโอกาสการค้าและการลงทุนระหว่างกัน เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า AI อิเล็กทรอนิกส์ data center

และสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นถือเป็นโอกาสใหม่ ๆ ด้วย เพราะความสัมพันธ์จีน-ไทยในช่วงที่ผ่านมา ก็มีความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า ระเบียบโลกที่ตรงไปตรงมา ถูกวางลงโดยประเทศตะวันตกเป็นหลัก ไม่ใช่ระเบียบโลก ซึ่งสะท้อนความเป็นจริงและความเป็นธรรมของประเทศทั่วโลก

“อย่างไรก็ตาม หวังว่า 50 ปี นับจากนี้ไปวันนี้ การตัดสินใจอาจไม่ได้มเกิดจากการคนในระดับผู้นำ แต่นักธุรกิจคนรุ่นใหม่จะเป็นผู้เขียนประวัติ ศาสตร์ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างไทยกับจีนในอนาคต” นายอภิสิทธิ์ ทิ้งท้าย

 อ่านข่าว:

จุดจบ "รวมไทยสร้างชาติ" ดีเอ็นเอลุงตู่ "ช็อกมินต์" รสขมภูมิใจไทย

ปรับท่านอน เกม "กัมพูชา" สกัดตัดเส้นเลือดใหญ่ ส่งไปพนมเปญ

AI Chatbot "พี่คุ้มครองฯ" ที่ปรึกษาทุกข์ “ชาวบ้าน” ด้านกฎหมาย