ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

หาคำตอบ ตรวจหา "สารเสพติด" จาก "เลือด-ปัสสาวะ-เส้นผม" ต่างกันอย่างไร

ไลฟ์สไตล์
09:45
75
หาคำตอบ ตรวจหา "สารเสพติด" จาก "เลือด-ปัสสาวะ-เส้นผม" ต่างกันอย่างไร

การตรวจหา "สารเสพติด" ไม่ได้จำกัดแค่การประเมินด้านสุขภาพ แต่ยังเป็นกลไกสำคัญใน "กระบวนการยุติธรรม" ทั้งการตรวจจาก เลือด ปัสสาวะ หรือแม้แต่ "เส้นผม" แต่ละวิธีมี "ข้อดี" และ "ข้อจำกัด" ที่สำคัญผลการตรวจเหล่านี้อาจมีผลทางกฎหมายโดยตรง เช่น การดำเนินคดีอาญา การเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ หรือการถูกเลิกจ้างจากงาน และการแยกผู้เสพนำไปสู่กระบวนการบำบัดหรือลงโทษตามกฎหมาย

ฉะนั้นการเข้าใจวิธีการตรวจและขอบเขตการใช้ผลตรวจในทางกฎหมาย เป็นเรื่องที่ควรรู้ไว้เพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง และเข้าใจถึงความหมายของ "ผลตรวจ" อย่างถูกต้อง อะไรบ้างนั้น ชวนมาหาคำตอบกัน 

ในเรื่องนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข อธิบายความรู้เรื่อง "การตรวจหาสารเสพติดในร่างกาย" ไว้อย่างน่าสนใจ โดยระบุว่า สามารถตรวจได้หลายวิธี 

• ปัสสาวะ

เป็นตัวอย่างสารชีววัตถุที่นิยมใช้ตรวจหาสารเสพติดมากที่สุด และถือเป็นตัวอย่างที่เป็นวัตถุพยานตามกฎหมาย สามารถใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลได้ เก็บตัวอย่างได้ง่าย มีปริมาณมาก และเก็บได้นาน

แต่ปัสสาวะถือเป็นสารคัดหลั่งหรือของเสียที่ขับออกจากร่างกาย จึงอาจมีเชื้อโรคปะปนมาได้ และช่วงเวลาที่เก็บตัวอย่างส่งผลต่อปริมาณสารเสพติดที่ตรวจพบได้ โดยเฉพาะหากเก็บนานเกินไปหรือใกล้เคียงกับการเสพมากเกินไป มีโอกาสสูงที่จะตรวจไม่พบสารเสพติดได้

• เลือด

สามารถตรวจพบผู้เสพในขณะที่เสพได้ทันที แต่จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักเทคนิคการแพทย์ หรือพยาบาล ทำให้มีความยุ่งยากในการตรวจค้นหาหรือการตรวจเบื้องต้น

• เหงื่อและน้ำลาย

มีลักษณะคล้ายปัสสาวะคือเป็นของเสียที่ออกจากร่างกายและไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ปริมาณสารเสพติดที่อยู่ในเหงื่อและน้ำลายมีน้อย ทำให้ผลการตรวจอาจเกิดความผิดพลาดหรือความแม่นยำลดลงได้ จึงไม่เป็นที่นิยม

• เส้นผม

กฎหมายอนุญาตให้ตรวจสารเสพติดจากเส้นผมได้ สามารถตรวจย้อนหลังได้ถึง 3 เดือน ซึ่งช่วยให้สามารถตรวจสอบประวัติการเสพของผู้เสพได้ แต่การตรวจเส้นผมจะใช้ในกรณีที่ไม่สามารถเก็บตัวอย่างปัสสาวะได้ หรือมีเหตุผลหรือวัตถุประสงค์อื่นใด

เกณฑ์การตัดสินว่ามีสารเสพติดในร่างกาย  

ตามประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ลงวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 ได้กำหนด หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการตรวจหรือทดสอบว่า บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดมีสารเสพติดอยู่ในร่างกายหรือไม่ (ตรวจหรือทดสอบหาสารเสพติดในปัสสาวะ) ไว้ดังนี้

  • กลุ่มแอมเฟตามีนและกลุ่มยาอี ตรวจพบสารดังกล่าวในปัสสาวะ ตั้งแต่ 1 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตรขึ้นไป
  • กลุ่มโอปิเอตส์ (เฮโรอีน, มอร์ฟีน, ฝิ่น) ตรวจพบสารมอร์ฟีนในปัสสาวะ ตั้งแต่ 300 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตรขึ้นไป
  • กลุ่มกัญชา ตรวจพบสารออกฤทธิ์หรือกัญชา (cannabinoid) ในปัสสาวะ ตั้งแต่ 50 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตรขึ้นไป
  • กลุ่มโคเคน ตรวจพบสารหรือเมตาบอไลท์ของโคเคนในปัสสาวะ ตั้งแต่ 300 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตรขึ้นไป
  • คีตามีน ตรวจพบสารและเมตาบอไลท์ของคีตามีนรวมกันในปัสสาวะ ตั้งแต่ 1 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตรขึ้นไป
ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณสารเสพติดที่ตรวจพบในร่างกาย

การตรวจหาสารเสพติดในร่างกาย มีปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณสารเสพติดในร่างกายอยู่หลายประการ เภสัชจลนศาสตร์  แต่ละคนจะมีกลไกการทำงานที่เรียกว่า เภสัชจลนศาสตร์ ไม่เท่ากัน ตัวอย่างเช่น ผู้ที่รับประทานยาพร้อมกันและเก็บปัสสาวะในเวลาเดียวกัน ผลตรวจอาจไม่เท่ากัน

น้ำหนักของผู้เสพ งานวิจัยพบว่าผู้เสพที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า จะมีปริมาณสารเสพติดอยู่ในร่างกายได้นานกว่าผู้ที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า นอกจากนี้ ปริมาณการเสพ หากเสพในปริมาณมาก ก็จะสามารถตรวจพบสารเสพติดได้นานกว่าคนที่เสพในปริมาณน้อย

ความถี่ในการเสพ หากมีการเสพในปริมาณเดียวกันอย่างต่อเนื่องและถี่ทุกวัน ก็จะสามารถตรวจพบสารเสพติดได้ในปริมาณที่ยาวนานกว่าปกติ รวมถึง ความเป็นกรดเป็นด่างของปัสสาวะ ปัจจัยนี้ก็ส่งผลต่อปริมาณสารเสพติดที่ตรวจพบได้เช่นกัน

การตรวจคัดกรองผู้ใช้ยาเสพติดเป็นกระบวนการที่สำคัญในการแยกแยะบทบาทผู้เกี่ยวข้อง หากเป็น "ผู้ค้า" จะนำไปลงโทษตามกฎหมาย แต่หากเป็น "ผู้เสพ" จะถือว่าเป็นผู้ป่วยที่ต้องเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา
ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

การตรวจพิสูจน์สารเสพติดใน "เส้นผม"

แล้วหากจะลงไปถึงรายละเอียดของการตรวจสารเสพติดใน "เส้นผม" ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีที่มีความแม่นยำอย่างมาก สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ได้อธิบายไว้ว่า เป็นวิธีการตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ทราบถึง ประวัติการใช้ยาเสพติดได้ และสามารถตรวจติดตาม เพื่อเฝ้าระวังการกลับไปกระทำผิดซ้ำในกรณีเสพยาเสพติดได้

อย่างที่กล่าวมาการตรวจหาสารเสพติดจากร่างกายทำได้หลายวิธี ซึ่งสิ่งส่งตรวจแต่ละชนิดมีช่วงเวลาในการตรวจพบที่แตกต่างกัน การตรวจเลือดและปัสสาวะมีข้อจำกัดด้านระยะเวลา สารเสพติดในเลือดสามารถตรวจพบได้ 1-2 วันหลังการเสพครั้งสุดท้าย

ในขณะที่ปัสสาวะส่วนใหญ่ตรวจพบได้ไม่เกิน 3-5 วันหลังการเสพครั้งสุดท้าย อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาเหล่านี้ขึ้นอยู่กับชนิดของยาเสพติดและพฤติกรรมการเสพของแต่ละบุคคล หากผู้เสพหยุดใช้ยาไประยะหนึ่งก่อนการตรวจ สารเสพติดจะถูกขับออกจากร่างกาย ทำให้ไม่สามารถตรวจพบการใช้สารเสพติดในการตรวจเลือดหรือปัสสาวะได้ ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนที่อาจทำให้ผู้เสพหลีกเลี่ยงความผิดได้

แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน การตรวจพิสูจน์สารเสพติดจากเส้นผม ที่สามารถบ่งชี้ได้ว่า บุคคลมีประวัติใช้สารเสพติดมาหรือไม่
ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

การตรวจในเส้นผมมีข้อดีคือสามารถตรวจพบสารเสพติดได้ยาวนานกว่าเลือดและปัสสาวะ คือสามารถตรวจการใช้สารเสพติดย้อนหลังได้หลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน ขึ้นอยู่กับความยาวของเส้นผม คือหากต้องการรู้ว่าบุคคลใด มีการเสพสารเสพติดมาเมื่อเดือนก่อนก็ทำได้

และสามารถประมาณการณ์ช่วงเวลาย้อนหลังได้ว่า มีการเสพช่วงเดือนใด เนื่องจากยาหรือสารเสพติดเมื่อเข้าสู่เส้นผมจะไปสะสมอยู่ในแกนกลางของเส้นผม จึงคงทนอยู่ภายในร่างกาย ทำให้สามารถตรวจสอบการใช้ยาเสพติดย้อนหลังได้

ขั้นตอนการเก็บตัวอย่างเส้นผม อุปกรณ์พื้นฐานที่ใช้ในการเก็บตัวอย่างเส้นผม ยกตัวอย่างเช่น ชุดซองเก็บเส้นผม (ประกอบด้วยซอง แผ่นฟอยล์ ไม้บรรทัด และไม้ขัดฟันสำหรับผูกเส้นผม), กรรไกร (หรือมีดโกนในกรณีที่ผมสั้นมาก), อุปกรณ์หนีบผม, ถุงมือ, เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดกรรไกรด้วยแอลกอฮอล์ ทิ้งไว้ให้แห้งก่อนการเก็บตัวอย่าง

การเลือกและตัดเส้นผม จะเลือกเส้นผมบริเวณตรงกลางด้านหลังศีรษะ หรือที่เรียกว่า "poster vertex" ซึ่งเป็นบริเวณที่เหมาะสมเนื่องจากเส้นผมมีอัตราการงอกที่สม่ำเสมอ เลือกเส้นผมให้มีความหนาเท่ากับ 1 แท่งดินสอ ซึ่งมีจำนวนประมาณ 90-120 เส้น จากนั้น มัดเส้นผมให้แน่นด้วยไม้ขัดฟัน ตัดเส้นผมด้วยกรรไกร โดยพยายามตัดให้ชิดโคนผมติดหนังศีรษะให้มากที่สุด

กรณีที่ไม่สามารถเก็บเส้นผมเพื่อตรวจหาสารเสพติดได้ สามารถใช้เส้นขนส่วนอื่นของร่างกาย เช่น ขนหัวหน่าว ขนรักแร่ หนวดเครา หรือขนหน้าแข้ง มาพิสูจน์สารเสพติดได้เช่นกัน โดยวิธีจะคล้ายการเก็บตัวอย่างของเส้นผม แต่ต้องระบุให้ชัดเจนว่า เป็นเส้นขนบริเวณใด ซึ่งเส้นขนดังกล่าวไม่สามารถประมาณระยะเวลาการใช้สารเสพติดได้ 

การตรวจพิสูจน์แบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ 1. การตรวจพิสูจน์แบบแบ่งระยะ เพื่อทราบถึงช่วงเวลาในการเสพสารเสพติดย้อนหลัง ตามความยาวของเส้นผม ความยาว 1 เซนติเมตร ตรวจพิสูจน์ประวัติการเสพสารเสพติด 1 เดือน นับจากโคนผม ซึ่งสามารถตรวจพิสูจน์การเสพสารเสพติดย้อนหลังได้หลายเดือน ขึ้นอยู่กับความยาวของเส้นผม 2.การตรวจวิเคราะห์หาสารเสพติดแบบไม่แบ่งระยะ (ทั้งเส้น) เพื่อทราบว่ามีการใช้สารเสพติดหรือไม่ 

สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ สามารถตรวจหาสารเสพติดได้กว่า 20 ชนิด ในกลุ่ม กลุ่มแอมแฟตามีนและกลุ่มเอ็กซ์ตาซี กลุ่มโอปิเอต (เฮโรอีน มอร์ฟิน และฝิ่น) กลุ่มโคคาอีน คีตามีน เป็นต้น

รายละเอียดสำคัญในรายงานผลการตรวจพิสูจน์ 

1. เลขที่รายงานและหมายเลขคดี เพื่ออ้างอิงและติดตาม

2. ชื่อ ที่อยู่ผู้รับบริการ ส่วนนี้จะเป็นชื่อหน่วยงานที่ส่งเส้นผมมาตรวจ

3. วัตถุพยานที่ส่งตรวจ รายละเอียดของเส้นผมที่ส่งตรวจ โดยจะระบุความยาวของเส้นผมและชื่อเจ้าของเส้นผม กรณีเส้นผมส่งมาเป็นรหัส จะมีการระบุรหัสเส้นผมในส่วนนี้

4. ผลการตรวจพิสูจน์ จะระบุรหัสของเส้นผมและผลการตรวจพิสูจน์ กรณีตรวจไม่พบ จะรายงานว่า "ตรวจไม่พบ" กรณีตรวจพบ จะรายงานชื่อสารที่ตรวจพบ เช่น "ตรวจพบคีตามีนและทรมานอล"

• เส้นผมที่มีความยาวน้อยกว่า 3 เซนติเมตร ห้องปฏิบัติการจะทำการตรวจเส้นผมทั้งหมด

• เส้นผมที่มีความยาวมากกว่า 3 เซนติเมตร ห้องปฏิบัติการจะทำการตรวจเฉพาะเส้นผมที่มีความยาว 0-3 เซนติเมตร นับจากโคนผมเท่านั้น โดยจะระบุในหมายเหตุ

ตัวอย่างการแปลผล ตัวอย่างที่ 1 เส้นผมที่ส่งตรวจยาว 2.5 ซม. ตรวจพบคีตามีน แปลผลได้ว่า มีการใช้สารคีตามีนย้อนหลังไปประมาณ 2 เดือนครึ่ง นับจากวันที่เก็บเส้นผม เป็นต้น

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

เกณฑ์การตรวจหรือทดสอบหาสารเสพติดใน "เส้นผม"

โดยการรายงานผลการตรวจพิสูจน์สารเสพติดในเส้นผมจากห้องปฏิบัติการ ให้ถือเกณฑ์การตัดสินตามประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการตรวจหรือทดสอบว่าบุคคลใดมีสารเสพติดอยู่ในร่างกายหรือไม่ ประกาศ ณ วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2565  "หมวด 3 การตรวจหรือทดสอบหาสารเสพติดในเส้นผม" ข้อ 15 ระบุว่า เมื่อสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ หรือสถานตรวจพิสูจน์ หรือโรงพยาบาลหรือ มหาวิทยาลัยของรัฐ ได้ดำเนินการตรวจพิสูจน์และออกรายงานผลการตรวจพิสูจน์จากห้องปฏิบัติการแล้ว ให้ถือเกณฑ์การตัดสินผลการตรวจพิสูจน์ว่าเป็นผู้มีสารเสพติดในร่างกาย ดังต่อไปนี้

(1) กลุ่มแอมเฟตามีน (Amphetamines) และกลุ่มเอ็กซ์ตาซี (Ecstasy- Group Substances) เมื่อตรวจพบว่ามีสารหรือเมตาบอไลต์ของสารในกลุ่มดังกล่าวอยู่ในเส้นผมตั้งแต่ 0.2 นาโนกรัม/มิลลิกรัม ขึ้นไป

(2) กลุ่มโอปิเอต (Opiates) ได้แก่ เฮโรอีน มอร์ฟีน และฝิ่น เมื่อตรวจพบว่ามีสารหรือ เมตาบอไลต์ของสารในกลุ่มดังกล่าวอยู่ในเส้นผมตั้งแต่ 0.2 นาโนกรัม/มิลลิกรัม ขึ้นไป

(3) กัญชา (Cannabis) เมื่อตรวจพบว่ามีสารเตตรา ไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydro-cannabinol(THC)) อยู่ในเส้นผม ตั้งแต่ 0.05 นาโนกรัม/มิลลิกรัม ขึ้นไป และตรวจพบว่ามี สารเมตาบอไลต์ของกัญชา ได้แก่ 11-นอร์-เดลต้า-เตตรา-ไฮโดรแคนนาบินอล คาร์บอกซิลิคแอซิด อยู่ในเส้นผมตั้งแต่ 0.0002 นาโนกรัม/มิลลิกรัม ขึ้นไป

(4) กลุ่มโคคาอีน (Cocaine) เมื่อตรวจพบว่ามีโคคาอีน อยู่ในเส้นผมตั้งแต่ 0.5 นาโนกรัม/มิลลิกรัม ขึ้นไป หรือเมตาบอไลต์ของโคคาอีน อยู่ในเส้นผมตั้งแต่ 0.05 นาโนกรัม/มิลลิกรัม ขึ้นไป

(5) คีตามีน (Ketamine) เมื่อตรวจพบว่ามีคีตามีนอยู่ในเส้นผมตั้งแต่ 0.5 นาโนกรัม/มิลลิกรัมหรือเมตาบอไลต์ของคีตามีน อยู่ในเส้นผมตั้งแต่ 0.1 นาโนกรัม/มิลลิกรัม ขึ้นไป

สุดท้าย การตรวจ "สารเสพติด" ในร่างกาย แต่ละวิธีก็มีข้อดี และข้อจำกัด ที่แตกต่างกัน สามารถตรวจพิสูจน์ สนับสนุนกระบวนการยุติธรรม และคุ้มครองสังคมจากภัยยาเสพติด นอกจากนี้ยังใช้ติดตามและเฝ้าระวังผู้ที่เคยใช้ยาเสพติด ตรวจพบการกลับไปเสพซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนบำบัดฟื้นฟู เพื่อให้ผู้หลุดพ้นจากยาเสพติด

อ้างอิงข้อมูล : สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม, กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด , คู่มือการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ในรูปแบบ Infographic

อ่านข่าว : วิจารณ์หนัก! สวนสัตว์เดนมาร์กขอรับบริจาคสัตว์เลี้ยงให้เสือ-สิงโตกิน

"ภูมิธรรม" แถลง ครม.เคาะเยียวยาผู้เสียชีวิตเหตุชายแดน ให้ "ทหาร-ขรก." 10 ล้าน ปชช. 8 ล้านบาท

 ครม.อนุมัติจัดซื้อกริพเพน 4 ลำ วงเงิน 1.95 หมื่นล้าน