วันนี้ (30 ก.ย.2568) นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายการแถลงนโยบายรัฐบาลในประเด็นความมั่นคงเรื่องปัญหาชายแดนไทย - กัมพูชา โดยเปิดข้อมูลเครือข่ายสแกมเมอร์ โดยชี้ว่า ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ตามแนวชายแดนไทยโดยพึ่งพาทรัพยากรจากไทย
นอกจากนี้ยังมีระดับแกนนำมีความใกล้ชิดศูนย์กลางอำนาจของกัมพูชา เช่น "ก๊กอาน" มีฉายาว่า เป็นราชาแห่งปอยเปตเป็นเจ้าของกาสิโน และตึก 18 ชั้น รวมถึงตึก 25 ชั้น เป็นหัวขบวนคนสำคัญของสแกมเมอร์ ปัจจุบันถูกออกหมายจับ โดยทางการไทยแต่ยังจับไม่ได้ และหวังว่าจะเห็นความคืบหน้า
อีกคนหนึ่งคือ "ลี ยง พัด" ตามข้อมูลระบุว่า มีสัญชาติไทยและกัมพูชา มีผู้ที่ถูกหลอกไปทำงานเป็นสแกมเมอร์จำนวนมากและอีกตัวละครที่น่าสนใจคือ "bic Bank" อยู่ในเครือของ "bic Group" มีบุตรชายที่ชื่อว่า "ยิม เลียก" ใกล้ชิดกับ ศูนย์กลางอำนาจกัมพูชา คือ สมเด็จฮุนเซน
นอกจากนี้ นายยิม เลียก ยังมีความใกล้ชิดกับ "เบน สมิธ" ที่มีข้อมูลเกี่ยวข้องกับธุรกิจหลอกลวง เคยพยายามชักชวนคนไทยไปลงทุน และเชื่อมโยงเครือข่ายทุนจีนสีเทาทั้งในกัมพูชาและเมียนมา ซึ่งธนาคาร bic เป็นสวรรค์ของการฟอกเงิน และมีสำนักงานตั้งอยู่ในประเทศไทย
ข้อสังเกตที่น่าสนใจ คือ นายคนนี้เป็นที่ปรึกษาของสมเด็จฮุน เซน เคยไปพบกับอดีตผู้นำทางจิตวิญญาณของรัฐบาลชุดที่แล้ว มีความเกี่ยวข้องกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จึงฝากคำถามไปถึง ร.อ.ธรรมนัส ว่า ไม่รู้หรือว่านายเบน สมิธ มีความเกี่ยวข้องกับ "ธุรกิจสีเทา" และ "เบน สมิธ" ยังได้ออกงานบุญร่วมกับ ร.อ.ธรรมนัส ที่สำคัญ "เบน สมิธ" มีความพยายามจะขอสัญชาติเป็นไทย และปักหลักอยู่ประเทศไทย โดยมีการรับรองขอเปลี่ยนชื่อเป็นนายสาธิต ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล เคยชี้แจงเรื่องนี้ว่า ไม่อนุมัติสัญชาติเนื่องจากเอกสารไม่ครบ
นายรังสิมันต์ ยังกล่าวว่า นายเบน สมิธ มีประวัติโชกโชน และพยายามเข้ามาสร้างอิทธิพลในประเทศไทยเชื่อมโยงกับรัฐบาลที่แล้วที่มีการผลักดันสถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโนอยู่ด้วย หรือตั้งข้อสังเกตว่า เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็ก อาจเป็นวิธีการในการนำเงินผิดกฎหมายจากกัมพูชามาฟอกผ่านกาสิโนที่ถูกกฎหมายในไทยก็เป็นไปได้ ถือเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง และทำลายภาพลักษณ์ของประเทศไทยอย่างร้ายแรง เปลี่ยนประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการฟอกเงินส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่สุจริตอย่างแน่นอน
รายได้ของกัมพูชาส่วนใหญ่มาจากการหลอกลวงผ่านสแกมเมอร์เป็น 60% จาก GDP เมื่อความฝันในการนำเงินสีดำในกัมพูชามาเปลี่ยนเป็นสีขาวในไทยต้องหยุดลงจึงทำให้ปัญหาของคน 2 คน 2 ตระกูลกลายเป็นปัญหาของ 2 ประเทศนำไปสู่ความขัดแย้งที่ไม่รู้จบจนถึงขณะนี้
นายรังสิมันต์ ยังกล่าวว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่า ชายชาวแอฟริกันคนนี้อยู่ในสถานะของ VVIP ที่อยู่ภายใต้การดูแลของผู้มีอำนาจของประเทศไทย ความเลวร้ายของเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ทุนสีเทาเข้ามาแทรกแซงอยู่ในสังคมไทยหรือการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เท่านั้น แต่อาจรวมไปถึงเรื่องที่บิ๊กบอสของสแกมเมอร์เข้ามาเป็นเครือข่ายของพรรคการเมือง และอาจทำให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางใหม่ของขบวนการสีเทาที่ต้องการมาปักธงชัยเพื่อขยายอาณาจักรสแกมเมอร์ให้ยิ่งใหญ่มากขึ้น
คาดหวังว่าในช่วง 4 เดือนที่นายอนุทินเป็นนายกฯ จะทำงานอย่างจริงจังต่อปัญหานี้ อย่าให้เหมือนรอบที่แล้วที่ดำรงตำแหน่งเป็น รมว.มหาดไทย แต่กว่าจะได้ทำงานปราบปรามก็ใช้เวลามากจนเกินไป
นายรังสิมันต์ ยังได้เสนอแนวทางแก้ปัญหาสแกมเมอร์ด้วยการสร้างสันติภาพตามแนวชายแดนตั้งศูนย์ประสานงานต่อต้านสแกมเมอร์ข้ามชาติ ทำงานเชิงรุกประสานงานกับต่างประเทศ ขอให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสอบเส้นทางการเงิน ผ่านนายหน้าเงินทุนสีเทาเพื่อทำลายเครือข่ายตามเงิน มีมาตรการยึดอายัด และเชื่อว่า ร.อ.ธรรมนัส จะเป็นพยานที่ให้การเป็นประโยชน์ได้
ส่วนกระทรวงการต่างประเทศต้องเตรียมการศึกษาความเป็นไปได้เรื่องของการใช้มาตรการในการพากัมพูชาไปขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) แม้ว่าไทยจะไม่ได้เป็นภาคีแต่กัมพูชาเป็นภาคี และเชื่อว่า มาตรการ ICC จะเป็นหนทางป้องปรามเรื่องสแกมเมอร์อย่างแท้จริงเพราะหลายประเทศถูกดำเนินการไปแล้ว
ทั้งนี้ยังมีข้อเสนอแก้ปัญหาชายแดน โดยมองว่า กัมพูชาไม่มีความจำเป็นต้องกลัวผลกระทบต่อการค้าขายปกติ เพราะกัมพูชามีรายได้จากการหลอกลวงเงินคนทั่วโลกคิดเป็น 60% ของ GDP อยู่แล้ว ความสำคัญของการค้าปกติจึงมีน้อย ถ้านายกฯ จะไปฝากความหวังให้ทหารอย่างเดียว อาจจะเป็นการบริหารราชการแผ่นดินที่ผิดพลาด
นายรังสิมันต์ ยังกล่าวว่า มองว่าการแก้ปัญหาชายแดนไทยกัมพูชาไม่ใช่หน้าที่ของ ก.กลาโหม เท่านั้น แต่ทุกกระทรวงรวมไปถึงนายกฯ ต้องบูรณาการทำงานเริ่มจากการแก้แก๊ง Call Center และสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานให้เกิดขึ้น
กระทรวงการต่างประเทศต้องกำหนดกรอบการพูดคุยให้ชัดเจนและเพิ่มบทบาทของ สมช.อย่าผิดพลาดเหมือนรัฐบาลที่แล้ว และเชื่อว่าจะแก้ปัญหาได้เพราะถ้ารายได้จากสแกมเมอร์ลดลงการทำอะไรต่าง ๆ จะง่ายขึ้น
ส่วนการแถลงนโยบายรัฐบาล ที่ระบุว่า จะมีการทำประชามติยกเลิก MOU เรื่องนี้ฟังดูเหมือนจะดีแต่ต้องไม่ลืมว่าการตัดสินใจเรื่อง MOU นั้นมีความเกี่ยวพันหลายเรื่องทั้งเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ แผนที่ที่ย้อนไปตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคม บริษัทพลังงานต่าง ๆ ที่มีชาติมหาอำนาจเข้าไปเกี่ยวข้องและยังมีมิติทางความมั่นคงที่ต้องพิจารณา ซึ่งสภาฯ แห่งนี้มีการตั้งกรรมาธิการเพื่อศึกษา MOU ก็หวังว่ากรรมาธิการและรัฐบาลนี้จะมีคำตอบรอบด้านให้กับสังคม
รัฐบาลมีโจทย์ที่ต้องคิดต่อว่า หากยกเลิก MOU แล้วจะต้องเตรียมพร้อมกับทุกฉากทัศน์ที่จะเกิดขึ้นเช่นการเจรจาเรื่องเส้นเขตแดน รวมทั้งจะต้องมีแผนรับมือ ดังนั้นการยกเลิก MOU จะต้องมีการประเมินข้อดี - ข้อเสีย
พร้อมเตือนนายกฯว่า จากตัวอย่างของรัฐบาลที่แล้ว หากมีผลประโยชน์ทับซ้อน เรื่องของความมั่นคงได้ส่งผลกระทบต่อประเทศชาติอย่างไร
ทั้งนี้ ขอย้ำจุดยืนของประเทศไทยว่า อยากเห็นการถอนอาวุธหนัก ความร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิด ปราบปรามสแกมเมอร์ จะเป็นหนทางในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีของ 2 ประเทศ และคืนความปกติตามพื้นที่แนวชายแดนให้เกิดการแก้ปัญหาอื่น ๆต่อไป ทั้งนี้ไม่ว่ารัฐบาลจะขยับเรื่องนี้หรือไม่ ในฐานะที่เป็นประธานกรรมาธิการความมั่นคงจะนำเรื่องนี้ โดยจะออกหนังสือเชิญนายกฯมาชี้แจงต่อกรรมาธิการต่อไป
อ่านข่าว : "รังสิมันต์" ตั้ง 6 ข้อสังเกตปัญหา "สถานบันเทิงครบวงจร"
"รังสิมันต์" ติงรัฐบาลสื่อสารปมกัมพูชาช้า ชี้เจรจา 14 มิ.ย.หวั่นไทยเสียเปรียบ
"ณัฐพงษ์-รังสิมันต์" สำรวจเส้นทางลักลอบเข้า-ออกชายแดน