วันนี้ (5 มิ.ย.2568) นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะ ประธานกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและปฏิรูปประเทศ กล่าวถึงการชี้แจงของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ค่อนข้างเสียดาย เนื่องจากในช่วงเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลสื่อสารในเรื่องนี้ช้ามาก และในความรู้สึกของคนไทยคาดหวังความชัดเจนถึงแนวทางของรัฐบาล ว่าจะมีมาตรการอย่างไรในการรับมือกับท่าทีกัมพูชา
ซึ่งมีหลายอย่างเช่น การประกาศไปยื่นศาลโลก และท่าทีที่เราต้องยอมรับว่า มีลักษณะไม่ให้เกียรติประเทศไทย ไม่ทิ้งการกระทบต่อรัฐบาลไทย แต่ยังกระทบต่อคนไทยทั้งประเทศ
การที่เห็นบรรยากาศความขัดแย้งเช่นนี้ ประชาชนย่อมคาดหวังว่า รัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร จะมียุทธศาสตร์อย่างไรในการจัดการเรื่องนี้ และประการที่สาม ทุกคนรู้ว่าเรื่องไทยกัมพูชา ต้องจบที่การเจรจา จะเจรจาอย่างไร อาจไม่มีใครทราบว่า ใช้กลไกไหน แต่คิดว่าคงไม่ใช้กองทัพห้ำหั่นกัน จนอีกฝ่ายหนึ่งแพ้อีกฝ่ายหนึ่งชนะ คงไม่เป็นแบบนั้น
คำถามคือ ก่อนที่คุณจะเจรจา โดยเฉพาะที่รัฐบาลหวังอย่างมาก ที่จะเจรจาวันที่ 14 มิ.ย.ก่อนที่จะถึงวันนั้น จะสร้างอำนาจต่อรองสูงสุดได้อย่างไร อันนี้คือประเด็นสำคัญที่รัฐบาลจะต้องจำใส่ใจและเข้าใจ หากไม่มีอำนาจในการต่อรอง ไม่ว่าจะเจรจาอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ คุณจะอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบเสมอ
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลต้องสร้างความชัดเจนว่า มีวิธีการ ยุทธศาสตร์ ที่ต้องชี้แจงมากกว่านี้ เพื่อให้ประชาชนที่เห็นต่างแต่ไว้ใจ ซึ่งวันนี้ต้องยอมรับความจริงว่า ประชาชนไม่เชื่อมั่นในรัฐบาล ไม่ว่าเรื่องสายสัมพันธ์ ซึ่งรัฐบาลจะต้องใช้โอกาสนี้แสดงความชัดเจนว่า สายสัมพันธ์ส่วนตัวจะต้องไม่อยู่เหนือกว่าผลประโยชน์ประเทศชาติ ซึ่งทำให้ประชาชนรู้สึกอุ่นใจว่ารัฐบาลกำลังแก้ไขปัญหาเรื่องนี้
และสุดท้ายอาจจะจบตรงที่การพัฒนาร่วมกัน หรือสัมพันธ์ที่ดีเพื่อประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย และรัฐบาลต้องทำให้เห็นว่า ไทยมีแต้มต่อให้มากที่สุด รวมถึงแต้มต่อทางการเมือง ซึ่งในวันนี้เห็นว่าประเทศไทยมีแต้มต่อทางการเมืองน้อยลงเรื่อย ๆ
หมายความว่า แต้มต่อในมิติทางการเมืองระหว่างประเทศเรามีน้อย จึงคิดว่าหากรัฐบาลไม่มีวิธีการแก้ปัญหาเรื่องนี้ ใครจะอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ สำหรับข้อเสนอของตนชัดเจนที่เขียนลงในเฟซบุ๊กมี 10 ข้อ
โดยข้อหนึ่งที่เสนอแนะต่อรัฐบาล ซึ่งถือเป็นการยิงปืนอันเดียวได้นกหลายตัว คือการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์
เมื่อถามว่า การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะยากไปหรือไม่ เพราะไม่ได้มีแค่ฝั่งไทย แต่มีฝั่งกัมพูชาด้วย จะมีการยอมรับหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เชื่อว่า หากมีการดำเนินการด้วยดีสามารถหาต้นตอแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้
ยอมรับว่า อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจับกุมระดับบอสในทันที แต่หากอาจเจออย่างน้อยตรวจสอบว่า ทรัพย์สินในประเทศไทยมีหรือไม่ และบรรดาพวกออกญา ที่เป็นฐานสำคัญของรัฐบาลกัมพูชา เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่ ส่วนตัวเห็นว่า เป็นไปไม่ได้ที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์จะตั้งในพื้นที่ของกัมพูชา หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากออกญา ในพื้นที่นั้น ๆ
"พูดในฐานะความมั่นคงของคนไทย ที่ควรถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในการหลอกลวงเอาเงิน สำหรับผมมันคือการยิงปืนอันเดียวได้นกหลายตัว และเชื่อว่าเป็นสิ่งที่แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นภายใน และแก้ไขปัญหาที่เกิดความขัดแย้ง ซึ่งปัญหาการคอลเซ็นเตอร์เป็นส่วนสำคัญ” นายรังสิมันต์กล่าว
เมื่อถามถึงสายสัมพันธ์ของนายกรัฐมนตรีกับฝั่งกัมพูชา สะท้อนได้หรือไม่ว่ารัฐบาล 2 ฝ่ายกำลังเจรจากันอยู่แต่จะมีดีลอะไร ที่ยังไม่ได้เปิดเผย นายรังสิมันต์กล่าวว่า ตามที่หลายท่านเคยพูดมาการเจรจา หากใช้เรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัว เราไม่รู้รายละเอียดว่า มีการใช้กลไกอย่างไร ในฐานะฝ่ายตรวจสอบตรวจสอบได้ยาก
คือยังไงยกหู ฮัลโหล แบบนี้เหรอ มันทำให้การแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ สำหรับฝ่ายต่าง ๆ ยาก และประชาชนไม่สามารถมองเรื่องนี้อย่างไว้วางใจ จึงคิดว่า วิธีการที่ดีที่สุดในเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวของบุคคลคงว่าอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยที่สุดกลไกที่ควรได้รับความเชื่อมั่น อย่างจำเป็นต้องมี และชี้แจงต่อประชาชนเป็นระยะ ประชาชนเป็นห่วงเรื่องนี้ออกมาแสดงความคิดเห็นมากมายกว่ารัฐบาลจบแถลงการณ์ออกมาใช้เวลามากเกินไปหรือไม่
นายรังสิมันต์ ยังทักท้วง ตำหนิ ท่าทีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการชี้แจงเรื่องนี้กับสื่อมวลชนเมื่อวานนี้ (4 มิ.ย.2568) ที่ทำเนียบรัฐบาล ที่เห็นว่า ไม่มีความเหมาะสม พร้อมแนะ ให้นายกรัฐมนตรีใจเย็น
ท่านพยายามบอกให้สังคมใจเย็น แต่ท่านกลับไม่ใจเย็นตอบคำถาม ที่ผู้สื่อข่าวถาม ซึ่งอาจเป็นคำถามที่ประชาชนจำนวนมากมีคำถาม ดังนั้นที่จะใช้โอกาสนี้สร้างความชัดเจนท่านกลับไม่ใช้ แต่พริกวิกฤตให้เป็นหายนะโดยที่ไม่จำเป็น
เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีต้องใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวของสองบ้าน เพื่อจบปัญหาเรื่องนี้หรือไม่ นายรังสิมันต์กล่าวว่า นี่ไม่ใช่เรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัว เรื่องนี้เป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ กัมพูชาผู้ชัดเจนว่า ถือประโยชน์ของประเทศชาติของเขาเป็นใหญ่ คำถามสำคัญคือเราจะถือเอาประโยชน์ตรงไหน ซึ่งต้องสร้างความชัดเจน
ส่วนตัวยังพยายามเชื่อว่า รัฐบาลจะเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ แต่ว่า รัฐบาลอาจจะไม่ได้สร้างความชัดเจนในเรื่องนี้ หวังว่าจะสร้างความชัดเจน ถือเป็นการติเพื่อก่อ เบื้องต้นอยากให้ใช้กลไกที่มีในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ และอย่ามองแค่เพียงกรอบ JBC หรือกรอบของทหาร หรือกรอบอันอื่นการพูดไม่ใช่เพียงพูดกับกัมพูชา ต้องคุยกับประเทศที่คุยกับกัมพูชาได้ด้วย
และยังตอบคำถามกรณีปัญหาชายแดนไทยกัมพูชาหาเรื้อรังว่า ยังไม่ขอทายผลเรื่องนี้ชัดว่าสุดท้ายจะเป็นอย่างไร แต่ชี้ว่าทุกการกระทำของรัฐบาลและฝ่ายค้าน ล้วนเป็นโอกาสที่จะทำให้ประชาชนใช้ในการตัดสิน
ดังนั้นหากรัฐบาลแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ไม่ดี เชื่อว่าอาจจะมีผลกระทบเกิดขึ้น แต่เราดูตอนจบว่าเรื่องนี้จะจบอย่างไร จะจบหรือไม่ ต้องติดตามกันอีกครั้งนึง วันนี้ในฐานะประธานกรรมาธิการความมั่นคง พยายามที่จะใช้กลไกของกรรมาธิการสนับสนุนงานของรัฐบาล งานของฝ่ายความมั่นคงในการแก้ไขปัญหานี้
ในวันที่ 12 มิ.ย.นี้ นัดประชุมลับ เฉพาะกรรมาธิการและฝ่ายความมั่นคงฯ ขอร้องว่า อย่าอ้างว่า เรื่องความมั่นคงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่สามารถแชร์ข้อมูลได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่ากรรมาธิการจะสนับสนุนงานได้อย่างไร ประเภทบอกให้เราหุบปากเงียบๆ ถามว่า ที่ผ่านมาเงียบๆ ไปแล้วรัฐบาลได้ใช้โอกาสให้เป็นโอกาสจริง ๆ หรือไม่ ก็ไม่ กลับพลิกโอกาสให้เป็นวิกฤต และพลิกวิกฤตให้เป็นหายนะ หากเป็นแบบนี้ก็จะไปต่อลำบาก
อ่านข่าว :
สร้างความหวังจากความโกลาหล กลยุทธ์สื่อสารที่ "ผู้นำ" ต้องรู้
จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฉุกเฉิน