ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ชัยชนะ "เขาพระวิหาร" แรงบันดาลใจ กัมพูชายื่นคดีสู่ "ศาลโลก"

ต่างประเทศ
12:15
3,024
ชัยชนะ "เขาพระวิหาร" แรงบันดาลใจ กัมพูชายื่นคดีสู่ "ศาลโลก"
อ่านให้ฟัง
17:27อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
กัมพูชามักเลือกศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือ "ศาลโลก" เพื่อแก้ข้อพิพาทชายแดน โดยเฉพาะกับไทย เพราะประสบความสำเร็จจากคดีปราสาทพระวิหารในปี 2505 และ 2556 ล่าสุดในปี 2568 กัมพูชาเตรียมยื่นคดีปราสาทตาเมือนและพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตต่อ ICJ อีกครั้ง

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชามักเผชิญกับความตึงเครียดบริเวณชายแดน โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องเขตแดนที่ยังไม่ชัดเจน ซึ่ง "ปราสาทพระวิหาร" เป็นกรณีศึกษาสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของปัญหาและความแตกต่างในแนวทางการแก้ไขข้อพิพาทของทั้ง 2 ประเทศ ในขณะที่ไทยมักต้องการแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจาระดับทวิภาคี กัมพูชากลับเลือกใช้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice - ICJ) หรือ "ศาลโลก" เป็นช่องทางหลักในการผลักดันข้อเรียกร้องของตนเอง

ศาลโลก คือใคร เหตุใดจึงสำคัญ ?

ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2488 ตั้งอยู่ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็น 1 ใน 6 เสาหลักของสหประชาชาติและเป็นศาลระหว่างประเทศเพียงแห่งเดียวที่ทำหน้าที่ระงับข้อพิพาททางกฎหมายระหว่างรัฐสมาชิกสหประชาชาติ 193 ประเทศ หน้าที่หลักคือ

  1. ระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศ
  2. ให้ความเห็นเชิงกฎหมายตามคำร้องขอจากองค์กรอื่น ๆ ของสหประชาชาติ

สิ่งสำคัญคือ ICJ เป็นอิสระจากสหประชาชาติ คำตัดสินของศาลโลกถือเป็นที่สิ้นสุดและไม่มีช่องทางอุทธรณ์ แม้ศาลจะไม่มีกลไกบังคับใช้คำตัดสินโดยตรง แต่หากรัฐไม่ปฏิบัติตาม คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอาจดำเนินการได้ อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้ว คำตัดสินของศาลโลกได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นที่ชอบธรรมจากประชาคมระหว่างประเทศ ทำให้รัฐต่าง ๆ มักจะปฏิบัติตามเพื่อหลีกเลี่ยงความไม่พอใจจากพันธมิตรระหว่างประเทศ การใช้ศาลโลกจึงเป็นโอกาสให้ประเทศต่าง ๆ สามารถแก้ไขปัญหาได้โดยไม่ต้องหันไปใช้ความขัดแย้งทางทหาร

ทำไม "กัมพูชา" เลือกใช้ศาลโลก ?

จากประวัติศาสตร์และผลลัพธ์ของคดีปราสาทพระวิหาร สามารถสรุปเหตุผลที่กัมพูชามักนำประเด็นพิพาทขึ้นสู่ศาลโลกได้ดังนี้

1.ความสำเร็จและชัยชนะทางประวัติศาสตร์
กัมพูชามีประสบการณ์ตรงที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามจากการนำคดีขึ้นศาลโลก ชัยชนะทั้งในปี พ.ศ.2505 และ พ.ศ.2556 ได้ตอกย้ำความชอบธรรมในข้ออ้างสิทธิ์ของตน และสร้างความเชื่อมั่นอย่างสูงในกลไกของศาลโลกในฐานะช่องทางที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมในการยืนยันสิทธิอธิปไตย

2.การแสวงหาความชอบธรรมและการแก้ปัญหาในระดับสากล
ศาล ICJ เป็นศาลเดียวที่ระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐสมาชิกสหประชาชาติ คำตัดสินของศาลเป็นที่สิ้นสุดและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากประชาคมระหว่างประเทศว่าเป็นคำตัดสินที่ชอบธรรม การใช้เวทีนี้ช่วยยกระดับข้อพิพาทให้เป็นเรื่องระหว่างประเทศ และเรียกร้องความสนใจและการสนับสนุนจากนานาชาติ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติที่สนับสนุนการระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศด้วยสันติวิธีเพื่อรักษาสันติภาพและความยุติธรรม

3.ความชัดเจนของแนวเขตแดนและการตีความทางกฎหมาย 
แม้ว่าคดีปราสาทพระวิหารจะตัดสินไปแล้ว แต่ไทยยังคงโต้แย้งเรื่องการปักปันเขตแดนโดยรอบ กัมพูชาจึงต้องการความชัดเจนทางกฎหมายที่ได้รับการรับรองจากเวทีสากล ศาล ICJ มีบทบาทสำคัญในการตีความและกำหนดแนวเขตแดนตามหลักฐานและกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งการยื่นคำขอตีความในปี พ.ศ.2554 เป็นความพยายามที่จะได้รับคำวินิจฉัยที่ชัดเจนและเป็นที่สุดเกี่ยวกับขอบเขตของพื้นที่พิพาท

4.เครื่องมือทางการทูตและอำนาจต่อรอง
เมื่อการเจรจาระดับทวิภาคีระหว่าง 2 ประเทศประสบความล้มเหลวหรือไม่คืบหน้า (เช่น การเจรจาในปี พ.ศ.2554 ที่ไม่ประสบผลสำเร็จ) การนำคดีขึ้นศาลโลกสามารถใช้เป็นเครื่องมือทางการทูตในการกดดันอีกฝ่าย และเรียกร้องความสนใจจากประชาคมระหว่างประเทศได้

5.จุดยืนที่แตกต่างจากไทย 
ประเทศไทยได้ประกาศจุดยืนว่าจะไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกใน "คดีใหม่" มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2503 (ค.ศ. 1960) อย่างไรก็ตาม เมื่อกัมพูชายื่นคำขอให้ศาล "ตีความ" คำตัดสินเดิมในปี พ.ศ.2554 ไทยไม่สามารถปฏิเสธการเข้าร่วมกระบวนการนี้ได้โดยง่าย เนื่องจากเป็นการขอตีความคำตัดสินที่มีอยู่แล้ว ไม่ใช่คดีใหม่ จุดยืนที่แตกต่างกันนี้อาจทำให้กัมพูชาเห็นว่าศาลโลกเป็นช่องทางที่แข็งแกร่งในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะในกรณีที่มีคำตัดสินเดิมอยู่แล้ว ในขณะที่ไทยมักจะต้องการแก้ไขข้อพิพาทใหม่ๆ ผ่านการเจรจาระดับทวิภาคีมากกว่า

นักวิชาการมองท่าทีกัมพูชา นำ 4 พื้นที่ขึ้นศาลโลก

ล่าสุด เหตุการณ์ปะทะบริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ได้จุดชนวนให้กัมพูชาประกาศเตรียมนำข้อพิพาทชายแดน 4 พื้นที่ ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ตาควาย และสามเหลี่ยมมรกต ขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือ "ศาลโลก" 

อ.ทรงฤทธิ์ โพนเงิน นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง ระบุว่า แม้จะมีการกำหนดประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ในวันที่ 14 มิ.ย.2568 ที่กรุงพนมเปญ แต่กัมพูชายืนยันว่าไม่เจรจาในประเด็นพิพาททั้ง 4 ตามบันทึกความเข้าใจ MOU 2543 เลือกใช้กลไกศาลโลกเพื่อยืนยันอธิปไตยและมรดกวัฒนธรรม กลยุทธ์นี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นจากชัยชนะในคดีปราสาทพระวิหาร และการใช้ชาตินิยมเพื่อรวมใจประชาชนท่ามกลางความท้าทายทางการเมืองภายใน

กัมพูชาใช้ศาลโลกเป็นเครื่องมือด้วยเหตุผลหลายประการ ความสำเร็จจากคดีปราสาทพระวิหารพิสูจน์ว่า ICJ สามารถให้คำตัดสินที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะเมื่อมีหลักฐาน เช่น แผนที่สมัยฝรั่งเศส ขณะเดียวกัน การเจรจาทวิภาคีผ่าน JBC มักไม่คืบหน้า เนื่องจากทั้ง 2 ฝ่ายยึดมั่นในจุดยืนของตน รัฐสภากัมพูชาอนุมัติให้ยื่นคดีอย่างเป็นทางการ และสื่อที่ควบคุมโดยกลุ่มภักดีต่อตระกูลฮุนก็ช่วยปลุกกระแสชาตินิยม กล่าวหาไทยรุกล้ำ เพื่อรวมใจประชาชนและเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาการเมืองภายใน กลยุทธ์นี้อาจดูแยบยล

แต่ก็ทำให้การประชุม JBC ที่จะถึงนี้เหมือนเป็นแค่พิธีการ ไร้โอกาสแก้ปัญหาจริงจัง

ด้านไทยยืนยันว่า MOU 2543 ยังมีผล และการยื่นคดีต่อ ICJ ต้องได้รับความยินยอมจากทั้ง 2 ฝ่าย แนะนำให้ไทยติดตามสถานการณ์และเก็บหลักฐาน เช่น การรุกล้ำชายแดน เพื่อปกป้องอธิปไตยอย่างรอบคอบ โดยไม่ตอบโต้ด้วยอารมณ์

ข้อพิพาทนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเขตแดน แต่เกี่ยวข้องกับมรดกวัฒนธรรมที่อ่อนไหว การค้าชายแดนมูลค่า 174,530 ล้านบาทในปี 2567 ก็เป็นสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายไม่อยากให้กระทบ ทางออกที่ดีคือการเจรจาด้วยสันติวิธีและรักษาความสัมพันธ์ทวิภาคี ไทยควรเตรียมหลักฐานให้พร้อมหากต้องเผชิญคดีในอนาคต ขณะที่กัมพูชาคงเดินหน้าด้วยความหวังจากศาลโลก แต่ผลลัพธ์ยังไม่แน่นอน

สอดคล้องกับ รศ.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำสาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า กัมพูชาไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย แต่ลัดขั้นตอนไปสู่เรื่องศาลโลก ซึ่งเขาคิดว่า เขาได้เปรียบดังนั้นประเทศไทยควรตอบโต้ให้ถี่ขึ้น ในลักษณะที่เผยหรือเปิดโปงพฤติกรรมของกัมพูชาว่า ไม่จริงใจในการเคารพเขตสันติภาพ และลัดขั้นตอนที่เร็วจนเกินไป ทำให้เกิดความตึงเครียด ระหว่างประเทศ

ถ้ารัฐบาลจะใช้ธงสันติภาพ สันติวิธี ในการสู้ก็ต้องเผย พฤติกรรมของ ฮุน เซน หรือ กัมพูชา ให้ได้ว่า เขาไม่ต้องการให้เห็นสันติภาพ หรือ มีการจัดการความขัดแย้งในระดับทวิภาคีด้วยความอดทนอดกลั้นอย่างเพียงพอ แต่เดินเกมสู่ศาลโลกเลย ทั้งที่เหตุการที่วิวัฒนาการไปสู่การนำขึ้นศาลโลกที่เป็นประเด็นร้อนก็เป็นช่วงไม่กี่วันนี้เอง ดังนั้นจึงเป็นการทำที่ลัดขั้นตอนไปมากพอสมควร แต่รัฐบาลไทยก็ไม่ควรอยู่เฉย ควรที่จะมีปฏิบัติการตอบโต้ให้เท่าทันทางรัฐบาลกัมพูชาบ้าง

ย้อนรอย "เขาพระวิหาร" รากฐานกลยุทธ์กัมพูชา

ความขัดแย้งเรื่องปราสาทพระวิหารมีจุดเริ่มต้นย้อนไปถึงสมัยอาณานิคม ในปี พ.ศ.2447 สยามทำสนธิสัญญากับฝรั่งเศส โดยใช้สันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ซึ่งจากหลักการนี้ ปราสาทพระวิหารควรอยู่ในดินแดนของไทย อย่างไรก็ตาม ปี พ.ศ. 2450 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) สยามได้ลงนามในสัตยาบันกับ ปธน.ฝรั่งเศส เพื่อแลกเปลี่ยนดินแดนเสียมเรียบ พระตะบอง และศรีโสภณ ให้กับฝรั่งเศส แลกกับการได้ตราดและดินแดนทางซ้ายของแม่น้ำเลยกลับคืนมา

ต่อมาปี พ.ศ.2451 ฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่ขึ้นฝ่ายเดียวโดยไม่ได้ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ทำให้ปราสาทพระวิหารในแผนที่อยู่ในดินแดนของกัมพูชา รัฐบาลสยามในเวลานั้นไม่ได้คัดค้านแผนที่นี้ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาและรักษาความสงบเรียบร้อย ปกป้องเอกราชและอธิปไตยของประเทศไว้ให้ได้มากที่สุด

ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ประเทศไทยได้ทำสงครามอินโดจีนและสามารถยึดดินแดนไทยเดิมกลับคืนมาได้ รวมถึงปราสาทพระวิหารด้วย แต่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยต้องคืนดินแดนดังกล่าวให้แก่ฝรั่งเศส ตามข้อตกลงกับฝ่ายสัมพันธมิตร อย่างไรก็ตาม หลังการรัฐประหารในปี พ.ศ.2490 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ส่งทหารเข้าไปยึดปราสาทพระวิหารอีกครั้ง

  • คดีปราสาทพระวิหารในศาลโลก พ.ศ. 2502-2505 

หลังจากกัมพูชาได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสได้ 6 ปี ในวันที่ 6 ต.ค.2502 พระเจ้านโรดม สีหนุ แห่งกัมพูชา ได้ยื่นฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ให้ไทยคืนปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้แต่งตั้ง ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เป็นทนายฝ่ายไทย

15 มิ.ย.2505 ศาลโลกได้มีคำตัดสินด้วยคะแนน 9 ต่อ 3 ให้ "ตัวปราสาทพระวิหาร" ตกเป็นของกัมพูชา ไทยต้องถอนกำลังทหารและเจ้าหน้าที่ทั้งหมดออกจากปราสาท เหตุผลสำคัญของศาลคือ ไทยไม่คัดค้านแผนที่ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นในปี พ.ศ. 2451 จึงถือว่า "การนิ่งคือการยอมรับ"

แม้คำตัดสินจะให้ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา แต่ศาลโลกไม่ได้วินิจฉัยเกี่ยวกับดินแดนโดยรอบปราสาททางทิศเหนืออย่างชัดเจน ทำให้ไทยยังคงอ้างสิทธิ์ในพื้นที่โดยรอบและยืนยันว่าเขตแดนในบริเวณนั้นยังไม่มีการปักปันอย่างเป็นทางการ นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ความตึงเครียดและข้อพิพาทดำรงอยู่ต่อมา

  • กัมพูชาขอตีความคำพิพากษาปี พ.ศ.2554-2556

28 เม.ย.2554 กัมพูชาได้ยื่นคำขอต่อศาลโลกเพื่อ "ตีความ" คำพิพากษาเดิมเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2505 และขอให้ศาลมีมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก กัมพูชาเรียกร้องให้ถอนทหารออกจากพื้นที่รอบปราสาท หยุดกิจกรรมทางทหาร และงดการกระทำใด ๆ ที่อาจเพิ่มความขัดแย้ง

ฝ่ายไทยได้คัดค้านคำขอของกัมพูชา โดยให้เหตุผล 3 ประเด็นหลัก

  1. ศาลไม่มีอำนาจพิจารณา ไทยมองว่าคำร้องของกัมพูชาเป็น "คดีใหม่" 
  2. ไม่มีข้อพิพาทเรื่องการตีความ ไทยอ้างว่ากัมพูชาเคยยอมรับว่าไทยปฏิบัติตามคำพิพากษาปี พ.ศ.2505 แล้ว ตั้งแต่ปีนั้นเอง
  3. คำร้องเป็นการอุทธรณ์แฝง ไทยเห็นว่ากัมพูชากำลังพยายามให้ศาลตัดสินในประเด็นที่ศาลเคยปฏิเสธจะพิจารณาในปี พ.ศ.2505 (เรื่องแผนที่และเส้นเขตแดน) ซึ่งหมายความว่าคำขอครั้งนี้ไม่ใช่ "การตีความ" อย่างแท้จริง แต่เป็นการเปิดคดีใหม่ในประเด็นที่เคยถูกปัดตกไปแล้ว

แม้ไทยจะคัดค้าน แต่ศาลโลกได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 18 ก.ค.2554 สั่งให้ทั้ง 2 ฝ่ายถอนกำลังทหารออกจาก เขตปลอดทหารชั่วคราว ซึ่งครอบคลุมพื้นที่พิพาทและบริเวณโดยรอบ และศาลยังสั่งให้ทั้ง 2 ฝ่ายร่วมมือกันภายใต้กรอบอาเซียนและอนุญาตให้ผู้สังเกตการณ์เข้าไปในพื้นที่ได้ นอกจากนี้ยังสั่งให้ไทยไม่ขัดขวางการเข้าถึงปราสาทพระวิหารของกัมพูชา

  • "ชะง่อนผาพระวิหาร" คำพิพากษาศาลโลก พ.ศ.2556 

11 พ.ย.2556 ศาลโลกได้มีคำตัดสินอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า คำพิพากษาปี 2505 ได้มอบอำนาจอธิปไตยเหนือ "ชะง่อนผาพระวิหาร" ทั้งหมดให้แก่กัมพูชา และไทยมีหน้าที่ต้องถอนกำลังทหาร ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยออกจากพื้นที่นั้น

โดยศาลระบุว่า "ชะง่อนผาพระวิหาร" หมายถึงพื้นที่ที่มีลักษณะทางธรรมชาติเป็นแหลมยื่นออกไป มีหน้าผาชันทางด้านใต้ ซึ่งลาดลงสู่ที่ราบของกัมพูชา และทางด้านเหนือขอบเขตยึดตามเส้นในแผนที่ภาคผนวก 1 ที่ใช้ในการพิจารณาคดีเดิม ศาลยังชี้ชัดว่า บทปฏิบัติการทั้งสามวรรคในคำพิพากษาปี พ.ศ. 2505 ที่กล่าวถึง "อาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา", "บริเวณใกล้เคียง", และ "บริเวณปราสาท" ล้วนหมายถึงพื้นที่เดียวกัน คือ **"ชะง่อนผาพระวิหาร" ดังนั้น ไทยจึงมีพันธะต้องถอนกำลังออกจากพื้นที่ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่แค่ตัวปราสาทเท่านั้น

คำพิพากษานี้ไม่ได้ชี้ชัดว่าเส้นเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชาอยู่ตรงไหนอย่างเป็นทางการ แต่เน้นย้ำว่าไทยต้องเคารพอธิปไตยของกัมพูชาในพื้นที่ที่ศาลได้วินิจฉัยแล้ว และให้ทั้ง 2 ฝ่ายดำเนินการด้วยความสุจริตตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ

ที่มา : ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ), BBC Thai. "ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา: กรณีปราสาทตาเมือนและสามเหลี่ยมมรกต"

 

 

อ่านข่าวอื่น :

ฝ่ายต่อต้านเล็งโจมตีอีก 3 ค่ายทหารเมียนมา เฝ้าระวังถูกยึดค่ายคืน

"อดีตพระพรหมเมธี" ถึงไทย คาดสู้คดีเงินทอนวัด