ในทุกวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นพายุถล่ม วิกฤตเศรษฐกิจ หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน "การสื่อสารของผู้นำ" คือตัวตัดสินว่าจะนำพาความมั่นคงหรือความโกลาหลมาสู่ประชาชน การสื่อสารในภาวะวิกฤตไม่เหมือนการสื่อสารทางการเมืองทั่วไปที่เน้นสร้างภาพลักษณ์ เพราะวิกฤตมักมาพร้อมความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว เป้าหมายจึงอยู่ที่การลดผลกระทบ ลบล้างความเข้าใจผิด และสร้างความมั่นใจว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไข
ผู้นำต้องเผชิญแรงกดดันมหาศาลในเวลาอันจำกัด โดยต้องสื่อสารอย่างรวดเร็ว โปร่งใส และเห็นอกเห็นใจ เพื่อรักษาความไว้วางใจและนำพาทุกคนฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน
10 หลักการทองคำสื่อสารยามวิกฤต
- ตอบสนองทันที ออกแถลงการณ์แรกทันทีที่ยืนยันวิกฤต เพื่อแสดงว่ากำลังลงมือแก้ไข ความล่าช้าอาจเปิดช่องให้ข่าวลือครองเมือง
- ยึดข้อเท็จจริง ตรวจสอบข้อมูลให้แน่น อย่าแลกความถูกต้องกับความเร็ว และกล้าแก้ไขหากผิดพลาด
- สร้างความไว้วางใจ อธิบายว่าวิกฤตอยู่ในการควบคุม และใช้ผู้เชี่ยวชาญหนุนหลังการตัดสินใจ
- แสดงความเห็นอกเห็นใจ ใช้โทนเสียงที่เข้าใจความรู้สึกประชาชน เพื่อลดความตื่นตระหนก
- ซื่อสัตย์และโปร่งใส อย่าปิดบังความเสี่ยงหรือชะลอข้อมูลสำคัญ เพราะความจริงมักโผล่มาในเวลาที่แย่ที่สุด
- อัปเดตสม่ำเสมอ ให้ข้อมูลใหม่ต่อเนื่องเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือ
- คิดล่วงหน้า คาดการณ์สถานการณ์และเตรียมการสื่อสาร อย่าปล่อยให้กลายเป็นแค่ "ดับไฟ"
- ใช้ช่องทางเดียว กำหนดโฆษกหลัก 1-2 คน เพื่อป้องกันความสับสนจากข้อมูลหลายกระแส
- มีส่วนร่วมกับชุมชน รับฟังคำถามและตอบกลับ เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นมนุษย์และใกล้ชิด
- ใช้ทุกแพลตฟอร์ม โซเชียลมีเดียช่วยอัปเดตเรียลไทม์ แต่ต้องเสริมด้วยวิธีดั้งเดิม เช่น การแถลงข่าวหรือ SMS

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
ตัวอย่างผู้นำที่สื่อสารยอดเยี่ยม
จาซินดา อาร์เดิร์น อดีตนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ เป็นตัวอย่างผู้นำที่สื่อสารในวิกฤตได้อย่างน่าชื่นชม BBC ระบุว่า ในเหตุกราดยิงมัสยิดไครสต์เชิร์ช ปี 2562 เธอออกแถลงการณ์ทันทีด้วยน้ำเสียงที่เห็นอกเห็นใจ แสดงความเสียใจต่อชุมชนมุสลิม และยืนยันว่าจะดำเนินการเด็ดขาด เธอใช้โซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊กไลฟ์ เพื่ออัปเดตความคืบหน้าและตอบคำถามประชาชนอย่างโปร่งใส การปรากฏตัวที่มัสยิดพร้อมสวมผ้าคลุมศีรษะแสดงถึงความเคารพและความเป็นหนึ่งเดียวกับผู้ได้รับผลกระทบ ทำให้เธอได้รับความไว้วางใจทั้งในและนอกประเทศ
อีกตัวอย่างคือการรับมือโควิด-19 ในปี 2563 อาร์เดิร์นสื่อสารด้วยความชัดเจน ใช้คำว่า "เราเป็นทีม 5 ล้านคน" เพื่อกระตุ้นความร่วมมือ และอัปเดตข้อมูลทุกวันด้วยข้อมูลจากนักวิทยาศาสตร์ ผลคือ นิวซีแลนด์ควบคุมการระบาดได้ดีเยี่ยม และเธอกลายเป็นแบบอย่างของผู้นำที่สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ

อดีตนายกฯ นิวซีแลนด์ และ ปธน.สหรัฐฯ
อดีตนายกฯ นิวซีแลนด์ และ ปธน.สหรัฐฯ
ตัวอย่างผู้นำที่สื่อสารล้มเหลว
ในทางตรงกันข้าม The Guardian เคยรายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ปธน.สหรัฐฯ ในขณะเผชิญวิกฤตโควิด-19 ในปี 2563 ด้วยการสื่อสารที่สร้างความสับสนและขาดความน่าเชื่อถือ เขามักลดทอนความร้ายแรงของไวรัส เช่น อ้างว่า "มันจะหายไปเอง" และให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง แนะนำให้ฉีดยาฆ่าเชื้อเข้าสู่ร่างกาย การขาดความเห็นอกเห็นใจต่อผู้เสียชีวิตและการกล่าวโทษจีนหรือองค์การอนามัยโลก ทำให้ประชาชนสับสนและไม่ไว้วางใจ การแถลงข่าวที่เต็มไปด้วยการโต้แย้งกับสื่อและการหลีกเลี่ยงคำถามสำคัญยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง ส่งผลให้สหรัฐฯ มีอัตราการติดเชื้อและเสียชีวิตสูง และความน่าเชื่อถือของทรัมป์ในฐานะผู้นำลดลงอย่างมาก
หลุมพรางที่ผู้นำต้องระวัง
- เงียบหาย การหายตัวไปหรือรอข้อมูลสมบูรณ์แบบทำให้ดูไร้ความสามารถ ประชาชนต้องการผู้นำที่มองเห็นได้
- มองข้ามความร้ายแรง การบอกว่า "ไม่เป็นไร" ทั้งที่ทุกอย่างไม่เป็นดั่งที่พูด ทำให้เสียความน่าเชื่อถือทันที
- โยนความผิด การชี้หน้าคนอื่นอาจดูสะใจ แต่สุดท้ายทำร้ายตัวเองและขัดขวางการแก้ปัญหา
- กลัวประชาชนตื่นตระหนก ประชาชนไม่ได้ตื่นกลัวง่ายอย่างที่คิด ความกังวลมักมาจากการขาดข้อมูลชัดเจน
- ควบคุมเกินเหตุ การจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองหรือเน้นปกป้องชื่อเสียงมากกว่าความรู้สึกประชาชน ทำให้ดูห่างเหิน
- โฆษกเยอะเกิน ข้อมูลจากหลายปากสร้างความสับสน ประชาชนจะงงว่าเชื่อใครดี
โอกาสและความท้าทาย การสื่อสารยุคดิจิทัล
ในยุคที่โซเชียลมีเดียครองโลก ข้อมูลแพร่เร็วกว่าพายุ ผู้นำต้องเผชิญการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ แพลตฟอร์มอย่าง X หรือเฟซบุ๊ก ช่วยให้ผู้นำส่งข้อมูลทันใจ ตอบโต้ข่าวลือ และรับฟังประชาชน แต่ความเร็วนี้ก็มาพร้อมความเสี่ยง ข้อมูลเท็จแพร่กระจายง่าย ผู้นำต้องรีบแก้ข่าวด้วยข้อเท็จจริง หรือสร้างหน้า "แยกแยะข่าวลือ" เพื่อสยบความสับสน
ตัวอย่างเช่น ในวิกฤตไฟป่าออสเตรเลีย ปี 2562-2563 สกอตต์ มอร์ริสัน นายกฯ ถูกวิจารณ์หนักที่ตอบสนองช้าและใช้โซเชียลมีเดียอย่างไม่เหมาะสม เช่น โพสต์วิดีโอที่ดูเหมือนประชาสัมพันธ์ตัวเอง แทนการแสดงความเห็นอกเห็นใจ ทำให้ความไว้วางใจลดลง
การสื่อสารในภาวะวิกฤตคือบททดสอบที่เผยตัวตนของผู้นำ คำพูดที่จริงใจ รวดเร็ว และเห็นอกเห็นใจสามารถเปลี่ยนความโกลาหลให้เป็นความหวัง แต่หากผิดพลาด อาจทำลายความไว้วางใจในชั่วข้ามคืน ตัวอย่างจากจาซินดา อาร์เดิร์นแสดงให้เห็นว่าการสื่อสารที่ชัดเจนและใกล้ชิดสามารถนำพาประชาชนฝ่าวิกฤตได้ ส่วนความล้มเหลวของโดนัลด์ ทรัมป์เตือนว่า การสื่อสารที่ขาดความน่าเชื่อถืออาจยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ ผู้นำต้องยึดหลักการทองคำ หลีกเลี่ยงหลุมพราง และใช้ทุกช่องทางอย่างชาญฉลาด
โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างเร็วและแรง วิกฤตไม่ใช่จุดจบ
แต่เป็นโอกาสให้ผู้นำพิสูจน์ความสามารถในการนำพาทุกคนไปสู่อนาคตที่ดีกว่า

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
แหล่งที่มา : BBC, The Guardian, ABC News Australia, Emerald insight, Zencity, Timspro
อ่านข่าวอื่น :