ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

จีนสั่งประหาร 16 คนจากตระกูลหมิง คุมสแกมเมอร์ในเมียนมา

ต่างประเทศ
19:56
387
จีนสั่งประหาร 16 คนจากตระกูลหมิง คุมสแกมเมอร์ในเมียนมา
ศาลจีนสั่งลงโทษสมาชิกตระกูลหมิง ประหารชีวิต 16 คน อีก 23คนโดนโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีไปจนถึงตลอดชีวิต หลังถูกส่งกลับมาดำเนินคดีเหตุคุมศูนย์สแกมเมอร์ในเมียนมา

วันนี้ (30 ก.ย.2568) ศาลในเมืองเวินโจว มณฑลเจ้อเจียง เปิดเผยผลคำตัดสินคดีที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกตระกูลหมิง 39 คน ซึ่งศาล ระบุว่า เป็นขบวนการอาชญากรรมที่มีการบริหารงานแบบกงสี และเกี่ยวข้องกับการหลอกลวงออนไลน์ ลักลอบค้ายาเสพติด ค้าประเวณี จัดตั้งกาสิโน และอาชญากรรมอื่น ๆ นับตั้งแต่ปี 2558

ศาลจีน ชี้ว่า กลุ่มอาชญากรเหล่านี้อาศัยกองกำลังติดอาวุธ เพื่อช่วยจัดตั้งศูนย์หลอกลวงออนไลน์ในหลายจุดของพื้นที่ปกครองตนเองโกก้างในรัฐฉานของเมียนมา มีเงินทุนหมุนเวียนกว่า 10,000 ล้านหยวน หรือมากกว่า 45,000 ล้านบาท รวมทั้งยังสังหารผู้ที่พยายามหลบหนี หรือไม่ยอมทำตามคำสั่งกว่า 10 คน ในจำนวนนี้รวมถึงเหตุการณ์เมื่อเดือน ต.ค.2566 ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาเปิดฉากยิงคนที่ศูนย์สแกมเมอร์ เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มคนเหล่านี้เดินทางกลับจีน

ทั้งนี้ ศาลตัดสินลงโทษประหารชีวิต 16 คน และอีก 23 คน ถูกลงโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ไปจนถึงตลอดชีวิต

สำหรับตระกูลหมิงเป็น 1 ใน 4 ตระกูลทรงอิทธิพลที่สุดในพื้นที่ปกครองตนเองโกก้างของเมียนมาที่อยู่ติดกับพรมแดนจีน ซึ่งประกอบไปด้วยตระกูลหมิง ไป๋ เว่ย และหลิว จากข้อมูลของสถาบันเพื่อยุทธศาสตร์และนโยบายเมียนมา หรือ ISP ระบุว่า ทั้ง 4 ตระกูลนี้ก้าวขึ้นมาเรืองอำนาจตั้งแต่ปี 2553 ก่อนที่จะเผชิญกับการกวาดล้างอย่างหนักตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566

การใช้โทษประหารชีวิตจัดการกับขบวนการหลอกลวงออนไลน์ ถือเป็นการส่งสัญญาณว่ารัฐบาลจีนจริงจังและเข้มงวดมากเพียงใดในการปราบปรามอาชญากรรมเหล่านี้ โดยข้อมูลจากกระทรวงความมั่นคงสาธารณะจีน เมื่อเดือน ก.ค.2568 ชี้ว่าตำรวจจีนปิดคดีที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงออนไลน์ไปแล้วกว่า 1,740,000 คดี นับตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปัจจุบัน

ขณะที่จีนร่วมมือกับหลายชาติเปิดปฏิบัติการทลายศูนย์สแกมเมอร์มากกว่า 2,000 แห่ง จับกุมตัวผู้ต้องสงสัยมากกว่า 80,000 คน ก่อนส่งตัวไปดำเนินคดีที่ศาลในหลายมณฑล นอกจากนี้ยังมีผู้ต้องสงสัยอีกหลายคนที่ถูกทางการจีนออกหมายจับในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงสมาชิก 4 ตระกูลใหญ่ในโกก้างด้วย

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจหลอกลวงออนไลน์ถือเป็นภัยคุกคามใหญ่ของอาเซียน ส่งผลกระทบไปทั่วโลก โดยในแต่ละปีธุรกิจนี้ทำเงินให้กับขบวนการอาชญากรรมหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จึงไม่แปลกที่ศูนย์สแกมเมอร์จะผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด โดยเฉพาะในเมียวดี ชายแดนไทย-เมียนมา และในเล้าก์ก่าย ชายแดนจีน-เมียนมา

ขณะที่การยกระดับการปราบปรามศูนย์สแกมเมอร์ในเมียนมา อันเป็นผลมาจากแรงกดดันอย่างหนักจากรัฐบาลจีน ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 ส่งผลให้ขบวนการเหล่านี้เริ่มย้ายฐานปฏิบัติการไปยังฝั่งกัมพูชา ก่อนที่จะเติบโตและขยายตัวจากธุรกิจริมพรมแดน เข้าไปเปิดสาขาในเมืองใหญ่ ๆ ซึ่งรวมถึงในกรุงพนมเปญด้วย

รายงานของ Amnesty International เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา ชี้ว่า การค้ามนุษย์ การบังคับใช้แรงงาน การใช้แรงงานเด็ก การทรมานและการปฏิบัติที่ไม่ดีอื่น ๆ ไปจนถึงการพรากเสรีภาพและการเป็นทาส เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ภายในศูนย์สแกมเมอร์ที่เปิดกระจายในหลายจุดของกัมพูชา ระบุตำแหน่งได้อย่างน้อย 53 แห่ง แต่รัฐบาลกัมพูชาล้มเหลวครั้งใหญ่ในการดำเนินมาตรการเพื่อยุติปัญหานี้

ส่วนรายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNODC ที่เตือนว่า ติมอร์-เลสเต กำลังกลายเป็นศูนย์หลอกลวงออนไลน์แห่งใหม่ในอาเซียน

รายงานชิ้นนี้อ้างถึงการบุกทลายเครือข่ายอาชญากรรมที่เขตบริหารพิเศษ "โอคุซซี-แอมบีโน" เมื่อเดือน ส.ค. ซึ่งพบความเชื่อมโยงกับศูนย์สแกมเมอร์หลายแห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีผู้ถูกจับกุมตัว 30 คน ที่มาจากอินโดนีเซีย มาเลเซีย และจีน โดย UN ระบุว่า เครือข่ายขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติแทรกซึมเข้าไปปฏิบัติการในเขตบริหารพิเศษของติมอร์-เลสเต ผ่านโครงการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากรัฐบาลเปิดตัวเขตการค้าเสรีดิจิทัลในเดือน ธ.ค.2567

รายงานของ UNODC ที่เพิ่งเผยแพร่ออกมาในช่วงกลางเดือน ก.ย.นี้ ชี้ชัดว่ากลุ่มอาชญากรใช้ประโยชน์จากเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อจูงใจนักลงทุนต่างชาติ ด้วยการตั้งบริษัทนอมินีขึ้นมาบังหน้า และได้กำไรหลายพันล้านผ่านโครงการมากมาย เช่น การพนันออนไลน์ผิดกฎหมาย การหลอกลวงออนไลน์ รวมทั้ง romance scams และการหลอกให้ลงทุนในระยะยาว

นอกจากนี้ กลุ่มคนเหล่านี้ยังอาศัยประโยชน์จากการได้รับสัญชาติผ่านการลงทุน และมีหนังสือเดินทางของหลายประเทศ ซึ่งอาจจะใช้เงื่อนไขนี้เพื่อหลบหนีหากถูกดำเนินคดี