วันนี้ (7 พ.ย.2568) เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนนครบาล บุกเข้าจับกุมผู้ต้องหา 3 คน คนแรกจับกุมได้ภายในบ้านพักหรูย่านกรุงเทพกรีฑา คนที่ 2 จับกุมได้ที่ย่านรามคำแหง และคนที่ 3 จับกุมได้ที่รีสอร์ตย่านเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา
ซึ่งทั้ง 3 คน ถูกกล่าวหาว่า ร่วมกันปลอมเอกสารราชการและร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอม, ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน, ร่วมกันแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, ร่วมกันฉ้อโกง, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่ น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือรับของโจร
พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผบก.สส.บช.น. เปิดเผยว่าก่อนหน้านี้ได้มีทนายความชาวฝรั่งเศสเจ้าของสำนักงานกฎหมาย เข้าแจ้งความกับตำรวจหลังถูกมิจฉาชีพแฮ็กข้อมูลระบบออนไลน์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ปลอมเอกสารสวมชื่อเป็นกรรมการบริษัท ก่อนนำเอกสารไปเปิดบัญชีธนาคารใหม่ และถอนเงินจนหมดบัญชี รวมเป็นเงิน 18 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 วัน
โดยเมื่อวันที่ 6 ต.ค.2568 มิจฉาชีพได้ปลอมแปลงเอกสาร และยื่นเรื่องผ่านระบบออนไลน์ของ DBD เพื่อขอเพิ่มชื่อคนร้ายเข้าไปเป็น กรรมการบริษัท 1 คน ต่อมาวันที่ 7 ต.ค.2568 ระบบออนไลน์ของ DBD ได้อนุมัติการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทำให้มิจฉาชีพมีชื่อเป็นกรรมการผู้มีอำนาจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
จากนั้นคนต้องหาได้ใช้สิทธิ์นี้เข้าไปแก้ไขข้อมูลในระบบ และถอดชื่อผู้ถือหุ้นจริงออกจากบริษัททั้งหมด และในวันที่ 8 ต.ค.2568 ช่วงเช้ามิจฉาชีพ ได้นำเอกสารรับรองบริษัทฉบับใหม่ ที่มีชื่อตนเองเป็นกรรมการไปติดต่อธนาคารแห่งหนึ่งเพื่อขอเปิดบัญชีใหม่ในนามบริษัท และทำการถอนเงินสดออกไปทันทีก้อนแรก 8 ล้านบาท
กระทั่งวันที่ 9 ต.ค.2568 นายโลร็องต์ ซึ่งเป็นผู้เสียหายได้ทราบถึงความผิดปกติ จึงพยายามติดต่อธนาคารเพื่อขอระงับบัญชี แต่ธนาคารแจ้งว่าไม่สามารถทำได้ทันที เนื่องจากต้องใช้เอกสารการแจ้งความจากตำรวจ
และในวันเดียวกัน ขณะที่ผู้เสียหายกำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อเข้าแจ้งความที่ สน.บางรัก มิจฉาชีพได้ใช้จังหวะดังกล่าวทำการถอนเงินที่เหลืออีกหลายครั้ง ครั้งละ 1-4 ล้านบาท จนเกลี้ยงบัญชี รวมยอดความเสียหายทั้งสิ้น 18 ล้านบาท
จากการตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหาได้อาศัยช่องว่างขณะที่เข้าไป สมัครงานในบริษัทใช้รหัสแฮ็กข้อมูลคอมพิวเตอร์และเปลี่ยนแปลงธุรกรรมต่าง ๆ ซึ่งกระบวนการทั้งหมดใช้เวลาเพียง 1 วัน ส่วนเป้าหมายการเลือกบริษัทเชื่อว่า มาจากการศึกษาประวัติว่าแต่ละบริษัทมีทุนประกอบการเท่าไหร่ เบื้องต้นคาดว่ากลุ่มผู้ต้องหาอาศัยความชำนาญ เนื่องจากพบว่ามี 1 ในผู้ต้องหาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ ด้านการเทรดการลงทุนในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
จากการสอบปากคำเบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งสามคนให้การภาคเสธโดยยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับ แต่ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ทั้งนี้จากการตรวจค้นพบสิ่งของที่น่าเชื่อว่าได้มาจากการกระทำความผิด 5 รายการ จึงได้ตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน เช่น รถยนต์หรู อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ของสะสมตุ๊กตา อาร์ตทอย มูลค่า 40,000 บาท พร้อมควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 คน นำส่งพนักงานสอบสวน สน.บางรัก ซึ่งเป็นท้องที่ที่รับผิดชอบคดีเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และขยายผลสืบสวนสำหรับติดตามจับกุมผู้ร่วมขบวนการที่เหลือ
อ่านข่าว :
จับขบวนการขายข้อมูล ปชช. พบรั่วไหลกว่า 9 ล้านรายชื่อ เสียหาย 300 ล้าน
รถทัศนศึกษาตกข้างทาง จ.นครสวรรค์ นักเรียนเจ็บ 30 คน
กระบะ 2 คันขับซิ่ง เสียหลักพุ่งชนแรงงานสร้างถนน เสียชีวิต 3 คน











