วันนี้ (17 พ.ย.2568) เวลา 14.00 น. นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, พล.ร.ต.ตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม, พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก, นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ และ น.ส.โชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกันแถลง "สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และการเจรจาการค้าไทยกับต่างประเทศ"
นายสิริพงศ์ ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา ทหารไทยเหยียบกับระเบิดที่กัมพูชาวางใหม่ หลังจากมีการลงนามปฏิญญาสันติภาพที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ยืนยันว่า ข้อมูลจากหน่วยงานราชการครบถ้วน แต่การนำเสนอข่าวสารอาจมาในห้วงเวลาที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจสร้างความสับสนให้กับประชาชน จึงเป็นที่มาในการแถลงข่าววันนี้
กัมพูชาวางทุ่นระเบิด PMN-2 ย้ำไทยไม่มีในครอบครอง
ขณะที่ พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม ชี้แจงเรื่องทุ่นระเบิด ว่า ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค.- 10 พ.ย.2568 เกิดเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด 6 เหตุการณ์ ส่งผลให้กำลังผลสูญเสียขา 7 นายและอีก 13 นายได้รับบาดเจ็บจากแรงกระแทกของระเบิด ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นดินแดนของไทยอย่างชัดเจนตามเส้นแบ่งเขต
สำหรับเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดครั้งล่าสุดในวันที่ 10 พ.ย. จากการพิสูจน์ทราบพบว่า จุดระเบิดมีความกว้าง 55 ซม. และพื้นที่โดยรอบยังพบทุ่นระเบิดพร้อมใช้อีก 3 ลูก โดยทุ่นระเบิดมีลักษณะใหม่และวางเป็นกลุ่มก้อน ซึ่งมีเป้าหมายหวังให้ถึงชีวิต นอกจากนี้พื้นที่ที่พบทุ่นระเบิดแสดงให้เห็นว่าเป็นการขุดใหม่
ที่ผ่านมา ไทยในฐานะภาคีอนุสัญญาออตตาวา ได้รายงานเรื่องนี้กับทางอนุสัญญาออตตาวาอย่างต่อเนื่อง และยืนยันว่าไทยไม่มีการเก็บสะสมทุ่นระเบิดสังหารบุคคลใดๆ ในครอบครองตั้งแต่ปี 2562 โดยได้ทำลายทั้งหมดแล้ว นอกจากนี้ยังมีการทำลายทุ่นระเบิดที่ตกค้างในช่วงสมัยสงครามแล้ว 99.5% ตามขอบชายแดน และยังคงหลงเหลือในพื้นที่สีแดงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาใน 15 อำเภอ 6 จังหวัด รวม 64 พื้นที่ แต่การเก็บกู้ทุ่นระเบิดของฝ่ายไทยมีอุปสรรคจากการขัดขวางของฝ่ายกัมพูชา
การวางทุ่นระเบิด PMN-2 ในช่วงเวลาที่ผ่านมา น่าจะเป็นการวางทุ่นระเบิดใหม่ ผู้ที่จะวางทุ่นระเบิดใหม่ได้ในพื้นที่ชายแดนที่อยู่ระหว่าง 2 ประเทศคงไม่ใช่ใครที่ไหน ไทยไม่มีทุ่นระเบิดในครอบครอง จึงเป็นทางกัมพูชาเป็นหลัก
พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม
พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวอีกว่า หลังเกิดเหตุการณ์ปะทะในช่วงเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยได้สำรวจพบพื้นที่เก็บทุ่นระเบิด บริเวณภูมะเขื่อ คาดว่าเป็นการเก็บทุ่นระเบิดเพื่อนำไปใช้ต่อ รวมถึงปรากฏภาพทุ่นระเบิดบริเวณปราสาทตาควายในสื่อสังคมออนไลน์ และหลักฐานวิดีโอการวางทุ่นระเบิดชนิด 728 ของทหารกัมพูชาด้วย จึงสรุปได้ว่าหลักฐานต่างๆ ค่อนข้างชัดเจนว่าฝ่ายกัมพูชาได้ละเมิด Joint Declaration หรือปฏิญญาที่มีการลงนามร่วมกันของนายกรัฐมนตรีทั้ง 2 ประเทศ
ส่วนในอนาคตฝ่ายไทยจะดำเนินการอย่างไรนั้น โฆษกกระทรวงกลาโหม ระบุว่า จากการละเมิดปฏิญญาร่วมของฝ่ายกัมพูชา ไทยจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะระงับการปฏิบัติตามที่ได้ตกลงกันไว้ในปฏิญญาร่วม โดยเน้นระงับการปฏิบัติตามแผนในการถอนอาวุธหนัง ทุกอย่างชะลอหรือหยุดไว้ก่อน แต่จะดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในดินแดนไทยตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จำนวน 13 พื้นที่จาก 64 พื้นที่ เพราะเป็นพื้นที่หลักที่ได้กำหนดความเร่งด่วนไว้ ส่วนการพิจารณาปล่อยตัวเชลยศึก 18 นายจะเป็นเรื่องสุดท้าย เมื่อเห็นว่ากัมพูชาสิ้นสุดการเป็นปรปักษ์
นายสิริพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากเดิมที่มีแผนถอนกำลังในระยะ 1-2 เดือนนั้น ขณะนี้ได้ระงับเรื่องนี้แล้วและไทยจะเดินหน้าเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่อธิปไตยไทย ส่วนการจัดการพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว ยังดำเนินการอยู่ รวมทั้งขับเคลื่อนการปราบปรามสแกมเมอร์
พร้อมย้ำเรื่องการปล่อยเชลยศึก ว่า จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ดำเนินการ เมื่อกองทัพไทย กระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาล เห็นว่าความเป็นปรปักษ์ของกัมพูชาหมดสิ้นไป จึงจะเจรจาพูดคุยเรื่องการปล่อยเชลยศึก
การปฏิบัติการทั้งหมดนี้ รัฐบาลและกองทัพยืนยันใช้แนวทางสันติวิธี แต่ขอสงวนสิทธิในการตอบโต้ตามความเหมาะสมหากโดนยั่วยุ
ตร.ไทยร่วมมือ 5 ชาติ เดินหน้ากวาดล้างสแกมเมอร์
ด้าน พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า ตำรวจได้ยึดถือการปราบสแกมเมอร์เป็นวาระแห่งชาติ ผบ.ตร.ได้มอบหมายให้ตำรวจทั่วประเทศนำไปปฏิบัติ โดยผลงานถือเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก
ในช่วง 2 สัปดาห์จับผู้ต้องหากว่า 7,000 คน มีทั้งการจับกุมเว็บไซต์อาชญากรรมออนไลน์ จับซิมผี บัญชีม้า ขบวนการลักลอบนำคนไปเป็นสแกมเมอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน จับกุมเว็บไซต์พนันออนไลน์ ยึดและอายัดทรัพย์ไปราว 41 ล้านบาท สำรวจเสาสัญญาณและจุดลักลอบใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศเพื่อนบ้านกว่า 1,600 จุด โดยประสาน กสทช.ดำเนินการต่อไป
ขณะที่มาตรการระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา ผบ.ตร.มอบหมาย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปประเทศจีน ร่วมประชุม 6 ชาติได้แก่ จีน ไทย เมียนมา ลาว กัมพูชาและเวียดนาม ร่วมกับนายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นประธานการประชุม หารือเรื่องการหลอกลวงข้ามชาติ โดยเฉพาะเรื่องสแกมเมอร์ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและประชาชน บรรลุฉันทามติร่วมกันจนนำมาสู่ข้อริเริ่มว่าด้วยการปราบปรามและจัดการอาชญากรรมฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและออนไลน์
ทั้งนี้ ได้ข้อตกลงในหลายด้าน เช่น ทุกประเทศจะใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นในเขตแดนของตนเอง และไม่ปล่อยให้มี Safe Heaven ในประเทศของตนเอง การล้อมปราบเขตนิคมศูนย์พนันออนไลน์ จับผู้ต้องสงสัย เก็บพยานและแลกเปลี่ยนพยานหลักฐานระหว่างกันอย่างเป็นรูปธรรม การส่งตัวผู้ต้องหากลับไปยังประเทศที่ต้องการตัว ดำเนินการอายัด ยึด ติดตามทรัพย์สินที่เกี่ยวกับคดีมาคืนให้กับผู้เสียหาย ประสานคดีและประสานข่าวกรองข้ามแดนร่วมกัน รวมถึงแลกเปลี่ยนศึกษาแนวทางการดูแลแพลตฟอร์ม การชำระเงิน การโทรคมนาคมและคริปโต โดยยึดหลักโปร่งใส ยุติธรรม
คาดว่าจะมีการร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม ยืนยันว่า ตร.จะดำเนินการปราบปรามทางเทคโนโลยีอย่างเข้มข้น ป้องกันไม่ให้คนไทยตกเป็นเหยื่อ จะดำเนินมาตรการเชิงรุกทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงร่วมกับรัฐบาลและเหล่าทัพในการปกป้องอธิปไตยในทุกมิติ
พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
กต.จ่อหารือปม "กัมพูชา" ละเมิตออตตาวาในเวทีเจนีวา
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) กล่าวว่า กต.ได้ดำเนินการทันทีในทุกระดับ จาก 2 เหตุการณ์คือ เมื่อวันที่ 10 พ.ย. ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด และวันที่ 12 พ.ย. เหตุปะทะในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว
สิ่งที่ กต.ได้ดำเนินการเกี่ยวกับการละเมิด Joint Declaration ของกัมพูชา รมว.กต.ได้ติดต่อไปยังรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศของกัมพูชา จำนวน 2 ครั้ง เพื่อประท้วงทันทีหลังเกิดเหตุการณ์ จากนั้นไทยมีหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการไปยังกัมพูชาอีก 2 ฉบับใน 2 เหตุการณ์
นอกจากนี้ กต.ได้ชี้แจงและหารือกับทางสหรัฐฯ และมาเลเซีย โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้มีหนังสือถึงนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะที่เป็นสักขีพยานการลงนาม Joint Declaration และสำเนาหนังสือถึงประเทศสมาชิกทุกประเทศ
ใจความสำคัญของหนังสือ ย้ำว่า ไทยยึดมั่นในเส้นทางแห่งสันติภาพ เคารพและปฏิบัติตาม Joint Declaration มาโดยตลอด แต่การละเมิดของกัมพูชาดังกล่าวทำให้ไทยต้องสงวนสิทธิที่จะดำเนินการตามความจำเป็น เพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณาภาพแห่งดินแดนของไทย รวมทั้งประกันความปลอดภัยของประชาชนไทย จึงจำเป็นต้องระงับการปฏิบัติตาม Joint Declaration เป็นการชั่วคราว ซึ่งการกลับมาปฏิบัติตามอีกครั้งขึ้นอยู่กับท่าทีและความจริงใจของฝ่ายกัมพูชา
นอกจากนี้ กรณีข่าวนายกฯ ได้หารือกับผู้นำสหรัฐฯ และผู้นำมาเลเซียในหลายโอกาส ประเด็นสำคัญแบ่งออกเป็น 3 ประเด็น
1. นายกฯ ขอให้แยกประเด็นทวิภาคีไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นเรื่องของความมั่นคง ออกจากประเด็นการค้า ซึ่งเป็นผลประโยชน์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ไม่เกี่ยวกับประเทศอื่น
2. ขอให้นายกฯ มาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ช่วยหาแนวทางฟื้นฟูกระบวนการสันติภาพ โดยคำนึงถึงข้อเสนอของไทยคือ ให้กัมพูชาขอโทษ สอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและแสดงความรับผิดชอบ รวมทั้งป้องกันการเกิดเหตุซ้ำในอนาคต
3. ผู้นำทั้ง 2 ประเทศได้แสดงความเข้าใจและรับข้อเสนอของไทย
ทั้งนี้ ภายหลังการหารือทางโทรศัพท์ นายกฯ จะมีหนังสืออีก 1 ฉบับถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อย้ำท่าทีของไทย และความสำคัญที่กัมพูชาต้องกลับมาปฏิบัติตาม Joint Declaration โดยเฉพาะประเด็นการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งมีหลักฐานชัดเจนว่ากัมพูชาเป็นผู้ดำเนินการและต้องรับผิดชอบ ดังนั้นขึ้นอยู่กับกัมพูชาในการกำหนดอนาคตของ Joint Declaration
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ
นายนิกรเดช กล่าวว่า กต.ได้ประท้วงในกรอบอนุสัญญาออตตาวา โดยไทยประท้วงต่อกัมพูชาไปยังประเทศญี่ปุ่น ในฐานะประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา พร้อมทั้งขอให้เวียนหนังสือให้สมาชิกทราบ
อีกทั้งไทยยังมีหนังสือถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (UN) แจ้งเรื่องการวางทุ่นระเบิดใหม่ของฝ่ายกัมพูชา และการยั่วยุในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว โดยไทยจะหยิบยกเรื่องประเด็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาของกัมพูชา ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ ครั้งที่ 22 วันที่ 1-5 ธ.ค.นี้ ที่นครเจนิวา
ไทยยังได้ชี้แจงต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) โดยไทยมีหนังสือประท้วงต่อกัมพูชา ไปยังเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรเซียร์ราลีโอนประจำสหประชาชาติ ในฐานะประธาน UNSC เกี่ยวกับทั้ง 2 เหตุการณ์ที่มีการรุกล้ำอธิปไตยไทย สาระสำคัญคือแจ้งให้ทราบเรื่องกัมพูชาละเมิดอธิปไตยและบูรณาภาพแห่งดินแดนไทย ละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ ละเมิดพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาออตตาวา และละเมิด Joint Declaration
ส่วนการชี้แจงต่อประชาคมระหว่างประเทศ กต.มีหนังสือถึงสถานเอกอัครราชทูต และผู้แทนองค์การระหว่างประเทศประจำประเทศไทย โดยได้จัดบรรยายสรุปแล้ว 6 ครั้ง
นอกจากนี้ ยังบูรณาการกับหน่วยงานความมั่นคง บรรยายสรุปแก่ผู้ช่วยทูตทหาร และร่วมลงพื้นที่กับคณะผู้สังเกตการณ์ AOT รวมถึงให้สถานทูตและสถานกงสุลไทยทุกแห่งทั่วโลก ชี้แจงข้อเท็จจริงและท่าทีของไทย เพื่อชี้ให้เห็นว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงต่างๆ และ Joint Declaration
ทั้งนี้ กต.จะยังเดินหน้าชี้แจงต่อประชาคมโลกและสื่อมวลชนในเวทีต่างๆ โดย รมว.กต.มีกำหนดเดินทางเข้าร่วมประชุมเวที Indo-Pacific Ministerial Forum ครั้งที่ 4 กับสหภาพยุโรป และพบผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำเทศไทยตลอดช่วงสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า รวมถึงไทยจะเดินหน้าจัดการสแกมเมอร์ โดยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต หรือออนไลน์สแกม ระดับรัฐมนตรี ในเดือน ธ.ค.นี้
ยืนยันว่าเราดำเนินการการทูตเชิงรุก ในทุกกรอบ ในทุกเวที อย่างทันท่วงที
พณ.ย้ำ USTR แยกเรื่องการค้า-ความมั่นคง เดินหน้าเจรจาภาษี
ขณะที่ น.ส.โชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ได้พูดคุยกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับเรื่องการเจรจาภาษีการค้ามาโดยตลอด โดยจากข้อมูลล่าสุดไม่ว่าจะเป็นข้อความจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย หรือประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ได้กล่าวนั้น จึงมีความมั่นใจว่าสหรัฐฯ จะมีเป้าหมายเดียวกับไทยที่ยังคงยึดมั่นในเดดไลน์เดิมที่ตั้งใจจะเจรจารายละเอียดความตกลงที่เกี่ยวข้องกับการค้าต่างตอบแทนให้เสร็จภายในสิ้นปี 2568
พณ.ได้เน้นย้ำกับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) มาตลอดว่า เรื่องการค้าและเรื่องความมั่นคงต้องแยกออกจากกันอย่างชัดเจน ส่วนรายละเอียดความตกลง ไทยได้ทำการบ้านอย่างจริงจังเพื่อหารือกับสหรัฐฯ อย่างเข้มข้น ซึ่งได้มีการจัดตั้งคณะทำงานด้านยุทธศาสตร์ โดยมี รมว.คลัง เป็นหัวหน้าคณะทำงาน นอกจากนี้ยังมีการเตรียมพร้อมผู้ประกอบการในการเสริมสร้างขีดความสามารถในสินค้าที่ไทยมีศักยภาพและด้านอื่นๆ รวมทั้งเตรียมหาตลาดใหม่ด้วย
ยืนยันว่าไทยมุ่งมั่นเป้าหมายเดิมและทำงานอย่างเต็มที่ หารือทุกภาคส่วน ผลประโยชน์หรือผลกระทบต่างๆ จะถูกนำมาพิจารณาอย่างครบถ้วนและรอบด้าน
อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวอีกว่า หลังจากได้รับข้อความจาก USTR ในวันเดียวกันได้มีการพูดคุยระหว่างผู้นำทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยยึดสิ่งที่ผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายพูดคุยกัน และได้ยืนยันกับ USTR ว่า ไทยจะเดินหน้าและพร้อมเจรจากับ USTR
ทั้งนี้ ในการเจรจา หลังจากที่มีการตกลงเรื่องกรอบแล้ว ขณะนี้อยู่ในช่วงหารือรายละเอียดของความตกลงการค้าต่างตอบแทน ขณะเดียวกันจะต้องมีการทำงานในประเทศด้วย โดยจะกำหนดวันเจรจาต่อไป
"วินธัย" ชี้ MOU ไทย-กัมพูชาไม่มีปัญหา แต่ผู้ปฏิบัติไม่ยึดถือ
ส่วน พล.ต.วินธัย กล่าวว่า ในฐานะผู้ปฏิบัติ กรณี MOU43 อยู่ที่ผู้ปฏิบัติมากกว่า หรืออยู่ที่คู่สัญญา ปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวลายลักษณ์อักษรของพันธสัญญาโดยตรง แต่อยู่ที่ผู้ที่ยึดถือสัญญาไม่ได้ยึดถือ ไม่ได้ปฏิบัติและละเมิดบ่อย ขณะที่ไทยทำตามกติกาหรือข้อตกลงว่าจะแก้ไขด้วยการประท้วง ซึ่งเราทำตรงนั้นเต็มที่แล้ว
การปฏิบัติ ปัญหาที่เราพบคือ ความไม่ตรงไปตรงมาของกัมพูชา
ขณะที่นายสิริพงศ์ กล่าวเสริมว่า MOU43-44 มีในส่วนที่ใช้เป็นเครื่องมือในการเจรจาโดยสันติวิธี แต่ประเด็นที่ยังเป็นข้อถกเถียงในกรรมาธิการที่จะส่งต่อให้รัฐบาลคือ เรื่องผลบังคับใช้ที่ไม่ได้กำหนดกรอบเวลาชัดเจน จึงส่งผลให้การบังคับใช้ล่าช้า ซึ่งจะนำมาสู่การพิจารณาในลำดับต่อไป
ทั้งนี้ นายสิริพงศ์ ยังกล่าวด้วยว่า หลังจากนายกฯ เดินทางกลับมา กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงว่า นายกฯ จะทำหนังสือถึงสหรัฐฯ ถึงเจตจำนง หลังได้พูดคุยกับผู้นำสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ เพื่อให้ครบถ้วนตามหลัก
"กราบวิงวอนสื่อไทยและต่างประเทศว่า สถานการณ์ขณะนี้เป็นสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อน เห็นตัวอย่างที่ผ่านมาสื่อต่างชาติเสนอข่าวผิดพลาด นำมาซึ่งความเข้าใจคลาดเคลื่อน ดังนั้นในการเสนอข่าวประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา หรือประเด็นที่พยายามดึงไปเกี่ยวพันระหว่างชายแดนไทย-กัมพูชา กับภาษีไทย-สหรัฐฯ ขอให้มีความระมัดระวังในการสื่อสาร เพราะมีผลกระทบเป็นวงกว้าง ยืนยันว่ารัฐบาลจะสื่อสารให้รวดเร็วและตรงไปตรงมา" โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
อ่านข่าว
"สื่อกัมพูชา" อ้างกองทัพไทยมีแผนโจมตี 2 พื้นที่ จ.โพธิสัตว์ 18 พ.ย.
“อนุทิน” ยัน “ทรัมป์” ขอให้ไทยเร่งกู้ทุ่นระเบิด โดยไม่นำการระงับปฏิญญาฯ มาเกี่ยวกับภาษี











