ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ข้อเสนอภาคประชาชน ปฏิรูปตำรวจ “สกัดทุนเทา” หลุดเข้าเลือกตั้ง 69

อาชญากรรม
15:47
85
ข้อเสนอภาคประชาชน ปฏิรูปตำรวจ “สกัดทุนเทา” หลุดเข้าเลือกตั้ง 69

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยข้อมูลการแจ้งคดีอาชญากรรมออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2565 – 31 ต.ค.2568 เพียง 4 ปี พบมีคดีสะสมกว่า 1,093,120 คดี มูลค่าเสียหายรวม 102,784, 378, 425 ล้านบาท ตัวเลขนี้ ยังไม่รวมความเสียหายจากผู้ที่ไม่ได้เข้าแจ้งความ ที่คาดการณ์ว่าจะมีมากกว่านี้ โดยเงินดังกล่าว ถูกแก๊งสแกมเมอร์ ข้ามชาติดูดออกไป และนำกลับมาฟอกในไทยสารพัดรูปแบบ ทั้งการลงทุนทำธุรกิจ และสร้างตัวให้เข้ามาอยู่ในแวดวงการเมืองยากที่จะตรวจสอบที่มา-ที่ไป 

แม้ก่อนหน้านี้ สหรัฐอเมริกา ได้ยกระดับการกวาดล้างการฉ้อโกงทางไซเบอร์ หลังจากคว่ำบาตรเครือข่ายอาชญากรรมในเมียนมาและกัมพูชา เพื่อปกป้องชาวอเมริกันที่เสียหายจากการถูกหลอกลวงทางออนไลน์ เสียเงินอย่างน้อย 10,000 ล้านดอลลาร์ ปี 2567 ให้กับแก็งสแกมออนไลน์ที่มีแหล่งอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพิ่มขึ้น 66% จากปี 2566

โดยสหรัฐฯ อังกฤษ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และใต้หวัน ได้ทำการยึดอายัดทรัพย์ของ “เฉินจื้อ” ประธานกลุ่ม Prince Holding Group เครือข่ายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียไปแล้วก็ตาม ขณะที่ประเทศไทย มีข้อมูลจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟองเงิน (ปปง.)ออกมาระบุเพียงว่า อยู่ระหว่างดำเนินการและยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากเกรงส่งกระทบต่อรูปคดีและการเคลื่อนย้ายทรัพย์

ในเวทีข้อเสนอภาคประชาชนต่อรัฐบาลไทย “ส่วยตำรวจ สแกมเมอร์ พนันออนไลน์ ปัญหาองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ กับการปฏิรูปตำรวจไทย” จัดโดยเครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ X คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) X เครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ และคณะทำงานสันติภาพฯ ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย สี่แยกปทุมวัน เมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา มีหลายข้อเสนอที่น่าสนใจ

โดยเฉพาะประเด็นการสกัดกั้นไม่ให้เงินจากกลุ่มสแกมเมอร์ ซึ่งตั้งฐานอยู่ในประเทศกัมพูชาและเมียนมาไหลเข้ามาเป็นแหล่งเงินทุนให้กับนักการเมือง บางกลุ่ม บางราย ที่อาจนำมาใช้สำหรับซื้อเสียงในช่วงที่จะมีการเลือกตั้งในปี 2569 

น.ส. ลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ ประธานมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (P-net) กล่าวว่า ขณะนี้ ยังไม่เห็นความชัดเจนที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการติดตาม ความเชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายผู้นำชาวกัมพูชา กับนักธุรกิจนักการเมือง และข้าราชการชาวไทย แม้จะมีสื่อมวลชนเปิดเผยข้อมูลรายละเอียดการทำธุรกิจและความสัมพันธ์ ที่อาจเข้าข่ายเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน

จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงผ่านแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ แต่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่สามารถติดตามหาตัวกลุ่มผู้กระทำความผิดและเส้นเงิน รวมถึงมาตรการอายัดทรัพย์สินของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ได้ ซึ่ง ส่วนนี้ทำให้ภาคประชาชนและภาคธุรกิจที่ปฏิบัติตามกฎหมาย

สิ่งที่เรากังวล คือ ในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ อาจมีเงินเทา หรือเงินที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้กระทำความผิดหลุดเข้ามาสู่ระบบการเลือกตั้ง และช่วยให้พรรคการเมืองที่ต้องการซื้อเสียง มีจำนวนส.ส. และอำนาจในรัฐสภาต่อไปอีก 4 ปี

น.ส.ลัดดาวัลย์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้การออกเสียงประชามติยกร่างรัฐ ธรรมนูญฉบับใหม่ ที่เปิดโอกาสให้มี คณะกรรมการ เช่น สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่ยึดโยงกับประชาชน ซึ่งจะช่วยให้การร่างรัฐ ธรรมนูญฉบับใหม่ มีกลไกที่เปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านมีอำนาจตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลได้อย่างเต็มที่ควบคู่กับประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตื่นตัว ไม่ยอมรับหรือเลือกพรรคที่มีการซื้อเสียง

เนื่องจากตรงนี้ จะเป็นหัวใจสำคัญของการจะแก้ปัญหาระยะยาว เพราะจะช่วยถ่วงดุลอำนาจของรัฐบาลในรัฐสภา เกี่ยวกับประเด็นการออกกฎหมายต่าง ๆ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้กลุ่มธุรกิจสีเทาหรือเครือข่ายสแกมเมอร์ เข้ามามีบทบาทครอบงำระบบและอำนาจสูงสุดของประเทศได้

ขณะเดียวกัน การนำเสนอข้อเท็จจริงที่ส่งผลกระทบกับความเดือดร้อนของประชาชน รวมถึงการใช้อำนาจในทางมิชอบของสื่อมวล ชน สส. และภาคประชาสังคม ก็เป็นอีกสิ่งที่จะช่วยสะท้อนความจริงให้สังคมเห็นภาพการทำงาน ของรัฐบาลและองค์กรตำรวจ เพื่อประกอบการตัดสินใจของประชาชน สำหรับพิจารณาเลือกตั้ง หรือดำเนินการตามระบอบประชาธิปไตย

นอกจากทุนสีเทาจากแก๊งสแกมเมอร์ จะเข้ามามีบทบาทในการครอบงำการทำธุรกิจข้ามชาติในหลายประเทศ รวมทั้งไทยแล้ว ยังพบว่า ได้ลุกลามเข้าสู่แวดวงสีกากี หลัง “พล.ต.อ.สุรเชษฐฐ์ หักพาล” อดีตรองผบตร.ออกมาให้ข้อมูล เรื่องเส้นทางการเงินกลุ่มเว็บพนัน และแสกมเมอร์ ต่อคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ครั้งล่าสุดว่า

มีตำรวจกับพวกที่เกี่ยวข้องกับเว็ปพนันออนไลน์ 230 กว่าคน รวมถึง ผบ.ตร. และมีตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้องเพิ่มอีก รวม 280-290 คน เรียกว่าเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งยอมไม่ได้จะให้ตำรวจ200 กว่านาย มาทำลายองค์กรซึ่งมีตำรวจอยู่ 2 แสนนาย

ขณะที่ พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวน การยุติธรรม ระบุว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับองค์กรตำรวจ สิ่งที่จะช่วยฟื้นศรัทธาให้กลับคืนมาได้ คือ การปฏิรูปโครงสร้างผ่านร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งจะทำให้อำนาจการสืบสวนสอบสวนไม่อยู่เพียงในมือตำรวจเท่านั้น

ขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนของสภาผู้แทนราษฎร และผ่านวาระ 1 ไปแล้ว และหากพิจารณาออกมาเป็นกฎหมายก็เชื่อว่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การทำงานสืบสวนสอบสวนคดีต่าง ๆ มีความยุติธรรมมากยิ่งขึ้น

ด้านนางสมศรี หาญอนันทสุข คณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ ( ก.ร.ตร.) ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการก.ร.ตร. ชุดที่มีมติชี้มูลความผิดทางวินัยร้ายแรงกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีต ผบ.ตร. และเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกกว่า 200 นาย จากกรณีรับส่วยจากขบวนการเว็บพนันออนไลน์ หลังนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ยื่นร้องเรียนเมื่อเดือน มี.ค.2567 เปิดเผยว่า แม้ที่ผ่านมาอาจจะยังพบการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการตำรวจที่ไม่เป็นธรรมบ้าง โดยเฉพาะการคัดสรรผู้บัญชาการในระดับต่าง ๆ ที่ อาจมีการนำบุคคลซึ่งไม่มีความรู้หรือความชำนาญอย่างแท้จริงมาปฏิบัติหน้าที่

“ส่วนตัวก็ไม่อยากให้ประชาชนหมดความหวังกับกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะองค์กรตำรวจเพราะต้องยอมรับว่ายังคงมีตำรวจน้ำดีที่ที่ตั้งใจทำอยู่ สิ่งที่จะทำได้ คือ การผนึกกำลังของภาคประชาชนให้เข้มแข็งแสดงออกว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของตำรวจเป็นอย่างไร เพื่อให้เกิดการตั้งข้อสังเกตจน เข้าสู่กระบวนการตั้งคณะกรรมการสอบสวนจากองค์กรอิสระ “

คณะกรรมการ กร.ตร. ย้ำว่า องค์กรอิสระที่ปราศจากการแทรกแซงของผู้มีอำนาจ จะทำให้การพิจารณา ข้อร้องเรียน ประเด็นต่าง ๆ ของตำรวจทุกระดับชั้น เป็นไปด้วยความยุติธรรม

ส่วนนายสุรพงษ์ กองจันทึก ที่ปรึกษาทรงคุณวุฒิประจำคณะกรรมาธิการสามัญ ประจำสภาผู้แทนราษฎร ให้ความเห็นว่า หากจะแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ กลุ่มจีนเทาข้ามชาติ และแก๊งสแกมเมอร์ การค้ามนุษย์ ที่ปัจจุบันพบว่า มีกลุ่มการเมือง ข้าราชการ ผู้บริหารท้องถิ่น ในหลายพื้นที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ให้ได้ผลอย่างจริงจัง จำเป็นอย่างยิ่งต้องมีการปฏิรูประบบตำรวจอย่างเข้มข้น

โดยเรียกร้องให้ดำเนินการปฏิรูปตำรวจ 8 เรื่อง คือ

1.เร่งโอนตำรวจ 11 หน่วย เช่น ตำรวจรถไฟ ตำรวจทางหลวง ไปให้กระทรวง ทบวง กรมที่รับผิดชอบ เป็นการกระจายอำนาจไปยังหน่วยงานที่จำเป็น เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเฉพาะด้านมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

2.แยกระบบงานสอบสวน ออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)

3.ให้พนักงานอัยการมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบควบคุมการสอบสวนคดีที่มีโทษจำคุกเกิน 5 ปี หรือคดีที่เห็นว่าจำเป็น

4.การสอบสวนต้องกระทำในห้องสอบสวนที่จัดเฉพาะ มีระบบบันทึกภาพ และเสียงอัตโนมัติเป็นหลักฐานไว้ให้อัยการและศาลเรียกตรวจสอบได้

5.ยุบกองบัญชาการทุกภาค เพื่อลดความซ้ำซ้อน และไม่จําเป็นในระบบการบังคับบัญชา

6.ปรับโครงสร้างตำรวจจังหวัด ให้ตำรวจอยู่ประจำพื้นที่จังหวัด ตรวจสอบประเมินผลโดย คณะกรรมการจังหวัด และการบังคับบัญชาของผู้ว่าราชการจังหวัด

7.กำหนดหลักเกณฑ์การแต่งตั้ง เลื่อนตำแหน่ง และโยกย้ายตํารวจทุกระดับ ให้พิจารณาตามอาวุโสการครองตำแหน่ง เพื่อสร้างความเป็นธรรม ลดการวิ่งเต้น ซื้อขายตำแหน่ง

8.การเปรียบเทียบปรับความผิดจราจร ซึ่งเป็นอำนาจตุลาการ ต้องกระทำโดยดุลยพินิจของศาล เพื่อให้เกิดความยุติธรรมต่อประชาชน และยกเลิกรางวัลค่าปรับซึ่งไม่มีเหตุผล

ทั้งหมดนี้ เป็นข้อเสนอแนะจากเครือข่ายภาคประชาชนที่เสนอให้รัฐพิจารณาครั้งแรก นับจากเกิดเหตุการณ์ทุนเทาเข้ามารุกคืบแวดวงราชการและการเมือง ซึ่งต้องจับตาว่า รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร

รายงานโดย : พลอยพรรณ คล่องแคล่ว ผู้สื่อข่าวอาชญากรรมไทยพีบีเอส

อ่านข่าว

พล.อ.รังษี เปิดเล่ห์เขมร “ลอบวางระเบิด” สร้างกลุ่มสแกมเมอร์

ควานหาสันติภาพ"ทหารไทยเหยียบกับระเบิด"เสียงปริศนาสั่งหยุดยิง