จากกรณีที่ พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม ทำบันทึกข้อความถึงปลัดกระทรวงยุติธรรม ขอให้พิจารณาทบทวนปรับปรุงกฎ ระเบียบ ประกาศ หลักเกณฑ์ และแนวทาง การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ การพิจารณาการพักการลงโทษ และการกำหนดอาณาเขตในสถานที่อื่นที่มิใช่เรือนจำ ให้เป็นสถานที่คุมขัง
ตามข้อสังเกตที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งมา จากกรณีของอดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกส่งออกไปรักษา ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ จนเป็นเหตุให้ศาลฎีกาสั่งนายทักษิณ ชินวัตร กลับไปรับโทษในเรือนจำ ตามคำพิพากษาของศาล
ล่าสุด วันนี้ (18 พ.ย.2568) พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า ในกรณีที่ รมว.ยุติธรรม ได้สั่งให้ปลัดกระทรวงยุติธรรม (ปลัด ยธ.) ดำเนินการทบทวนแก้ไขใน 3 ประเด็นสำคัญ ประกอบด้วย
ประเด็นแรกการส่งตัวผู้ต้องขังที่มีอาการเจ็บป่วยไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ถูกมองว่า เป็นการใช้ดุลพินิจของพยาบาลในการส่งตัวผู้ต้องขังที่มีอาการเจ็บป่วยออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำ มีความเหมาะสมหรือไม่ โดยอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ให้ความเห็นว่า เนื่องด้วยตนยังไม่ได้รับเอกสารฉบับเต็มอย่างเป็นทางการ จึงยังไม่ทราบรายละเอียด
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อได้รับหนังสืออย่างเป็นทางการ จะตั้งคณะทำงานขึ้นมา 1 ชุด โดยมีตนเองในฐานะอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เป็นประธาน รวมถึงจะเชิญคณะผู้บริหารของกรมฯ เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึง ผอ.กองทัณฑวิทยา กองทัณฑปฏิบัติ กองกฎหมาย กองบริการทางการแพทย์ เป็นต้น มาร่วมเป็นคณะทำงานเพื่อศึกษาในแต่ละประเด็น ทบทวน แก้ไข และเพื่อเสนอความเห็นโดยสรุปไปยังปลัดกระทรวงยุติธรรมรับทราบ
พ.ต.ท.ประวุธ ยังกล่าวอีกว่า ในเรื่องของการให้ทบทวนว่า การใช้ดุลพินิจของพยาบาลในการส่งตัวผู้ต้องขังที่มีอาการเจ็บป่วยออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำนั้นมีความเหมาะสมหรือไม่ เรื่องนี้มองได้ 2 มุม
โดยเฉพาะในเรื่องของความเร่งด่วน หากเรือนจำนำส่งตัวผู้ต้องขังที่มีอาการเจ็บป่วยล่าช้า แล้วผู้ต้องขังเกิดเสียชีวิตระหว่างทาง ราชทัณฑ์ก็จะถูกญาติของผู้ต้องขังฟ้องดำเนินคดีได้ ดังนั้น จึงมองว่า ต้องพิจารณาเป็นรายกรณี โดยถ้าหากเจ้าหน้าที่เห็นด้วยกายภาพแล้วพบว่า ผู้ต้องขังรายดังกล่าวมีอาการหนัก แต่ต้องรอติดต่อกับแพทย์มันก็ไม่มีเวลาที่จะช่วยชีวิตผู้ต้องขังทันได้ กรณีเช่นนี้จะต้องรีบนำส่งเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลทันที
แต่อีกประการ คือ หากมองทางกายภาพแล้วพบว่า ผู้ต้องขังยังพอไหวเจ็บป่วยทั่วไป จึงต้องทบทวนหาวิธีการปฏิบัติที่เหมาะสมในการส่งผู้ต้องขังรับการรักษาพยาบาล หรือ อาจพิจารณาให้แพทย์ได้เข้ามาตรวจร่างกายผู้ต้องขังก่อน ทั้งนี้ กรณีมีอาการวิกฤตฉุกเฉิน กฎหมายก็ระบุว่า ต้องรีบส่งตัวผู้ต้องขังที่มีอาการเจ็บป่วยได้รับการรักษาพยาบาลโดยเร็ว ซึ่งต้องชั่งน้ำหนักในประเด็นสิทธิมนุษยชน และแนวทางการปฏิบัติอย่างเหมาะสม
อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ยังกล่าวว่า ประเด็นการพักโทษกรณีมีเหตุพิเศษ เนื่องจากเจ็บป่วยร้ายแรง หรือ พิการ หรือมีอายุ 70 ปีขึ้นไป ซึ่งทางรมว.ยุติธรรมมองว่า การใช้ดุลพินิจของพยาบาลในการประเมินแบบประเมินคัดกรองควรเป็นแพทย์เป็นผู้ประเมินหรือไม่
รวมถึงแบบประเมินคัดกรองในปัจจุบันมีมาตรฐานหรือไม่ ในกรณีที่ผู้ต้องขังไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หรือช่วยเหลือตัวเองได้น้อยนั้น เรื่องนี้ทางคณะทำงานก็คงจะต้องนำประเด็นนี้มาพิจารณาทบทวนเพื่อหาความเหมาะสม เฉกเช่นเดียวกับประเด็นเรื่องการจัดทำหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข การกำหนดอาณาเขตในสถานที่อื่นที่มิใช่เรือนจำให้เป็นสถานที่คุมขัง ก็ต้องหาแนวทางปฏิบัติและใช้ดุลพินิจอย่างเหมาะสม
อ่านข่าว : "รมว.ยุติธรรม" สั่งทบทวนหลักเกณฑ์ ส่งผู้ต้องขังรักษานอกเรือนจำ
ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้ "ทักษิณ" แพ้คดีเลี่ยงภาษีขายหุ้นชินฯ จ่าย 1.76 หมื่นล้านบาท
ครอบครัวเผย "ทักษิณ" พร้อมสู้ หลัง "อสส." เตรียมยื่นอุทธรณ์คดี ม.112











