ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ไทย–ญี่ปุ่น "ขอโทษ" คนละความหมาย คลิปไวรัลเต้นบนหลังคารถ

สังคม
18:07
148
ไทย–ญี่ปุ่น "ขอโทษ" คนละความหมาย คลิปไวรัลเต้นบนหลังคารถ
คลิปไวรัล "แจ็ก แปปโฮ อินฟลูฯ ไทย" เต้นถอดเสื้อหน้าลอว์สันวิวฟูจิ จุดชนวนดรามาข้ามวัฒนธรรม เมื่อเจ้าตัวขอโทษแต่ไม่ยอมลบคลิป อ้างต้องการเตือนสติ กับ วัฒนธรรมญี่ปุ่นที่ต้องการความเป็นระเบียบของสังคม เป็นคำถามให้ชาวเน็ตว่า คำขอโทษนี้ เหมาะสมแล้วหรือไม่ ?

เหตุการณ์เริ่มจากคลิปสั้นที่กลายเป็นไวรัลอย่างรวดเร็ว ภาพอินฟลูเอนเซอร์ชาวไทย "แจ็ก แปปโฮ" ปีนขึ้นไปเต้นบนหลังคารถตู้หน้าร้านสะดวกซื้อจุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิ จังหวะแรกที่หลายคนนึกถึงอาจเป็นความตั้งใจในการครีเอตคอนเทนต์สนุก ๆ ฮา ๆ แต่เมื่อแพร่สู่สายตาสาธารณะ คลิปเดียวกันกลับถูกมองต่างกัน ตามกรอบวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อม

ในบ้านเรา อาจถูกว่าเป็นความกล้า ความฮา สร้างคอนเทนต์ แต่ในประเทศญี่ปุ่นกลับถูกมองว่าเป็นการรบกวนหรือไม่เคารพพื้นที่สาธารณะ

เพื่อให้เข้าใจความต่างของวัฒนธรรมนี้ ต้องทำความรู้จักคำว่า "Wa" (和) หรือ Harmony ก่อน BBC ระบุว่า Wa เป็นหลักปรัชญาชีวิตที่มีมาอย่างยาวนานของดินแดนอาทิตย์อุทัยตั้งแต่สมัยเฮอัน (ค.ศ.794-1185) ซึ่งช่วยให้สังคมที่แออัดและหลากหลาย อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข Wa สร้างความกลมกลืนที่ดึงคนมารวมกัน ป้องกันความขัดแย้ง และรักษาสมดุลระหว่างส่วนบุคคลกับส่วนรวม ช่วยหลีกเลี่ยง "Meiwaku" หรือการรบกวนผู้อื่น โดยเน้นการยับยั้งชั่งใจและให้เกียรติซึ่งกันและกัน เช่น การต่อแถวอย่างเป็นระเบียบ หรือการไม่พูดเสียงดังในรถไฟ

Wa จึงเสมือนเป็นกาวใจ ที่ทำให้ญี่ปุ่นเป็นสังคมที่สงบสุข แม้จะดูเข้มงวด แต่จริง ๆ แล้วคือ การเกรงใจกันเพื่อความอยู่รอดร่วมกัน

หลังคลิปแพร่กระจายไป อินฟลูเอนเซอร์คนดังกล่าวก็โพสต์เฟซบุ๊ก ขอโทษ พร้อมระบุว่าจะไม่ลบคลิปเพื่อใช้เป็นบทเรียน

"ที่ผมไม่ลบโพส คือ ผมไม่ต้องการหนีปัญหา
อย่างน้อย ๆ นี่ก็เป็นการผิดพลาดเพื่อแก้ไขปรับปรุง
ไม่ใช่ลบเพื่อให้คนลืมไปว่าเราไม่ได้ทำ
เราทำให้มันเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่ทำ
ผมน้อมรับทุกคำด่า…
#ขออภัยทุกคนด้วยครับ"

อย่างไรก็ดี ในมุมของคนญี่ปุ่น การขอโทษที่ไม่ได้ปิดต้นตอของปัญหา อาจดูไม่สอดคล้องกับแนวคิด "Hansei" (反省) ซึ่งหมายถึงการทบทวนอย่างจริงจังว่าความผิดเกิดจากอะไร เราควรแก้ไขอย่างไร และจะทำอย่างไรไม่ให้เกิดอีก

คำถามใหญ่จากคนโซเชียลจึงตามมาว่า การขอโทษแบบที่อินฟลูฯ คนดังกล่าว ทำนั้นทำไมถึงดูไม่เหมือนการขอโทษแบบญี่ปุ่นที่เน้นคืนความสงบให้สังคม ?

คนญี่ปุ่นพูด Sumimasen บ่อยเหลือเกิน

คนญี่ปุ่นมักใช้คำว่า "Sumimasen" (すみません) ที่แปลว่า "ขอโทษ" แต่ไม่ได้มีความหมายเดียว ยังสื่อความหมายว่า "เราทำให้คุณลำบากนะ" หรือ "ขอบคุณที่ช่วยเหลือ" จึงเป็นคำที่ผสมทั้งการสำนึกผิดและให้เกียรติผู้ฟัง ที่แสดงออกมาเป็นแนวรูปธรรม เช่น การแสดงความตั้งใจแก้ไข หรือลบสิ่งที่เป็นสาเหตุของความไม่พอใจออกไป เพื่อคืนความสมดุลให้พื้นที่สาธารณะ

แต่การยืนยันว่าจะไม่ลบคลิปเพื่อให้เป็น "บทเรียนส่วนตัว" อาจถูกตีความในความหมายต่างกันไป ในบริบทนี้การเก็บหลักฐานของความตั้งใจรบกวนความสงบเรียบร้อยของสังคมไว้ อาจทำให้ความตั้งใจ "ขอโทษ" ถูกสื่อว่า ไม่ตรงกับมาตรฐานทางสังคมที่มีอยู่ก่อน ตามข้อมูลจาก Japan Intercultural Consulting เรื่องสไตล์การขอโทษในวัฒนธรรมญี่ปุ่น

ประเด็นที่ไม่ควรมองข้าม คือ บริบทของการท่องเที่ยว ขณะนี้ญี่ปุ่นเผชิญปัญหา Overtourism หรือนักท่องเที่ยวล้นในหลายจุดท่องเที่ยวชื่อดัง การที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากมาพร้อมพฤติกรรมที่ส่งผลต่อความสงบของชุมชน ก็ยิ่งทำให้ความเปราะบางของพื้นที่และความรู้สึกของคนท้องถิ่นถูกหยิบยกมาพูดมากขึ้น

จึงเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ท่าทีการขอโทษและการแก้ไขแบบญี่ปุ่นมักถูกคาดหวังให้มีความเป็นรูปธรรม เพราะไม่เพียงแค่ความรู้สึกของบุคคลเดียว แต่คือการรักษาเงื่อนไขการอยู่ร่วมกันในพื้นที่ที่คนทั้งท้องถิ่นและผู้มาเยือนใช้ร่วมกัน

ขอโทษแบบคนไทย รักษาน้ำใจ-รีบคืนความสัมพันธ์

เมื่อเปรียบเทียบกับวัฒนธรรมไทย พฤติกรรมขอโทษมักแฝงด้วยความเป็นกันเองและความผ่อนคลาย คนญี่ปุ่นมักพูดถึงคนไทยว่า "เป็นคน Sabai Sabai" การไหว้พร้อมคำขอโทษ 1-2 ครั้ง ก็เพียงพอในหลาย ๆ สถานการณ์

ผลงานวิจัยของ ทัศนีย์ เมฆถาวรวัฒนา เรื่อง บทวัฒนธรรรมของการขอโทษในภาษาไทย สรุปว่า คนไทยใช้คำว่า "ขอโทษ" ในสถานการณ์ที่หลากหลายถึง 8 ประการ ได้แก่ เมื่อกระทำสิ่งไม่ดีต่อผู้อื่น, รบกวนผู้อื่น, ขออนุญาต, เสนอความเห็น, กล่าวประชด, ต่อว่า, ปฏิเสธ และสั่งการ โดยไม่จำกัดเฉพาะการยอมรับความผิดจริงเท่านั้น

เมื่อเปรียบเทียบกับงานวิจัยของเวียซบิคกา ปี 2537 ที่ศึกษาการขอโทษในสังคมญี่ปุ่นและตะวันตก พบความแตกต่างชัดเจน คือ ชาวญี่ปุ่นจะกล่าวขอโทษทั้งทางตรงและทางอ้อม ส่วนชาวตะวันตกจะกล่าวขอโทษเมื่อผิดโดยตรงเท่านั้น ขณะที่คนไทยกล่าวขอโทษเมื่อผิดและไม่ผิดต่อผู้อื่น สะท้อนว่าคำว่า "ขอโทษ" ในวัฒนธรรมไทยเชื่อมโยงกับ หน้าตาและความสุภาพมากกว่าการยอมรับความผิดเพียงอย่างเดียว

สรุปว่าคำว่า "ขอโทษ" ในสังคมไทยสื่อความหมายหลัก 2 ประการ คือ

  1. ยอมรับความผิดและแสดงความเสียใจเมื่อกระทำผิดต่อผู้อื่นหลังเกิดเหตุ 
  2. แสดงความสุภาพเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้ผู้ฟังเสียหน้าในกรณีอื่น ๆ

โดยรวมแล้ว การใช้คำนี้จะช่วยลดความตึงเครียดทางสังคมและส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน แม้ในสถานการณ์ที่ไม่ใช่ความผิดชัดเจน

เพราะเป้าหมายหลักคือ การคืนความรู้สึกที่ดีระหว่างผู้คนโดยเร็ว ไม่ต้องมีพิธีรีตองมากนัก แต่ข้อดีของจุดนี้อาจกลายเป็นจุดอ่อนเมื่อข้ามบริบททางวัฒนธรรม โดยเฉพาะเมื่อสังคมเจ้าบ้านให้ความสำคัญกับการคืนความสมดุลของพื้นที่มากเป็นพิเศษ ความแตกต่างเชิงพฤติกรรมและค่านิยมจึงไม่ใช่การตัดสินว่าฝั่งใดถูกกว่า แต่เป็นการชี้ให้เห็นว่าการสื่อสารความรับผิดชอบต้องมีความละเอียดอ่อนเมื่อต้องทำงานข้ามวัฒนธรรม

ในบริบทดรามาออนไลน์กรณีเต้นหน้าจุดชมวิวฟูจิ การไม่ลบคลิปของอินฟลูเอนเซอร์ไทย ในสายตาชาวไทยหลายคนมองว่า "ไม่มีการสำนึกผิดจากใจจริง" ที่ต้องให้ค่ากับการแก้ไขทันที แต่กลายเป็นการเพิ่มโอกาสประชาสัมพันธ์ "PR opportunity" ที่เพิ่มยอดไลก์ ยอดการเข้าถึง เพิ่ม Engagement ให้ตัวเอง เช่น 

พี่ทำไปทำไมวะพี่ผมรู้ว่าพี่เป็นคนปัน ๆ กวน ๆ
แต่บางครั้งการกระทำพี่มันก็เกินไป
เคยคิดสักครั้งก่อนทำไหมอะไรสิ่งที่พี่คิดว่าทำแล้วมันปกติ
เมื่อก่อนผมดูพี่แทบทุกวัน
ตอนนี้เริ่มทำงานแล้วถึงจะไม่ค่อยมีเวลา แต่ก็ยังดูอยู่
ผมเห็นพี่มีดราม่ามากมายพี่ออกมาขอโทษ
แล้วพี่ก็ทำให้ผมรู้เส้นทางมันหากินกับการหาเเสงแต่พี่เป็นพ่อคนเเล้วนะพี่

แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีคอมเมนต์ให้กำลังใจ และไม่ได้มองว่าการกระทำของอินฟลูฯ คนดังกล่าว ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตระดับประเทศ เช่น เป็นกำลังใจให้, รักคือเก่า, สู้ๆ ครับน้อง เป็นต้น

ความน่ารัก "คาวาอี้" ที่ทำให้ต่างชาติเข้าใจญี่ปุ่นผิด

เจี๊ยบ มักคุเทศน์ไทยที่เดินทางไปญี่ปุ่นบ่อย ๆ อธิบายความแตกต่างด้านวัฒนธรรม มารยาท ของไทยและญี่ปุ่นว่า ยังมีปัจจัย "ภาพลักษณ์" ที่ทำให้ความเข้าใจคลาดเคลื่อน Pop Culture ของญี่ปุ่น เช่น การแต่งตัวแบบ Cosplay, ตุ๊กตามาสคอต, คาแรกเตอร์จากมังงะ ให้ความรู้สึกว่า "ญี่ปุ่นเปิดกว้างมากกว่าที่คิด" จนบางครั้งผู้มาเยือนเข้าใจไปว่า อะไรสุดโต่งย่อมทำได้ในญี่ปุ่น แค่ขอให้ดูตลก สนุก หรือเป็นไวรัล

แต่น้อยคนจะรู้ว่าเบื้องหลังความคาวาอี้ ก็มีวินัยและกติกาที่ยึดถืออย่างมั่นคงซ่อนอยู่เสมอ การจะเล่นสนุกในญี่ปุ่น จึงไม่เหมือนการเล่นสนุกที่บ้านตัวเอง

เพราะญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนรวมมากและระแวงต่อการสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น

เสียงขอโทษจากชาวไทย- สีหศักดิ์เตือน "ให้เคารพกฎหมายญี่ปุ่น"

ในโลกออนไลน์ คนไทยจำนวนมากเข้าไปขอโทษกับการกระทำของอินฟลูฯ คนดังกล่าว ที่ก่อพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของญี่ปุ่น ในเพจ Embassy of Japan in Thailand/สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เช่น ขอโทษชาวญี่ปุ่นทุกท่าน ที่พลเมืองไทยไปแสดงพฤติกรรมที่ไม่สมควรในประเทศของท่าน ขอให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในญี่ปุ่นลงโทษตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด

และอีกหลายคอมเมนต์ที่แสดงความเห็น ต้องการให้ทางสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย มีมาตรการลงโทษกับอินฟลูฯ คนไทยที่ก่อเหตุ เช่น ไม่ให้เข้าประเทศญี่ปุ่นอีกต่อไป, ขึ้นบัญชีดำไม่ให้เดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น

หลังจากเป็นกระแสอย่างมาก ทำให้ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ ออกโรงเตือน แจ็ก แปปโฮ ขอให้เที่ยวต่างประเทศและเคารพกฎหมาย-วัฒนธรรมประเทศนั้น เชื่อทางการญี่ปุ่นดำเนินการตามกฎหมาย ส่วน นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงกรณีนี้ว่า ยอมรับว่ากระทบกับภาพลักษณ์ของนักท่องเที่ยวและประเทศไทย แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถห้ามได้ เพราะเป็นสิทธิส่วนตัว แต่ที่ผ่านมาก็พยายามรณรงค์ โดยเฉพาะคนไทยที่อยู่ต่างประเทศ หากไปทำอะไรที่ไม่ถูกวัฒนธรรมหรือกฎระเบียบของเขา เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์

ทั้งนี้กางกฎหมายที่อินฟลูฯ ไทย อาจมีความผิดจากการกระทำ ได้แก่

1) ความผิดอาญา – ทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย เช่น หลังคารถบุบหรือเป็นรอย มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 เยน (ราว 67,000 บาท) แม้จะเป็นคดีที่ยอมความได้ แต่หากบริษัทรถเช่าต้องการดำเนินคดี ก็สามารถร้องทุกข์ได้ทันที

2) ความผิดลหุโทษ – สร้างความเดือดร้อนรำคาญ เพราะพฤติกรรมปีนป่ายหรือก่อความวุ่นวายในที่สาธารณะอาจเข้าข่ายการรบกวนความสงบ หากตำรวจพบเห็นสามารถตักเตือน คุมขัง 1–29 วัน หรือปรับเป็นค่าโทษได้

3) ความรับผิดทางแพ่ง – ละเมิดสัญญาเช่ารถ บริษัทรถเช่าญี่ปุ่นกำหนดชัดเจนว่าการใช้รถผิดวัตถุประสงค์ เช่น ปีนขึ้นหลังคารถ ถือเป็นการละเมิดสัญญา ผู้เช่าต้องรับผิดชอบค่าซ่อมทั้งหมด ประกันไม่คุ้มครอง และต้องจ่ายค่าเสียโอกาส (NOC) ระหว่างการซ่อมให้บริษัทด้วย 

ซึ่งในกรณีนี้ แม้อินฟลูฯ คนดังกล่าวจะบอกว่าเป็นรถของคนรู้จักที่เช่าต่อมา และเจ้าของรถก็ไม่ได้ตำหนิการกระทำดังกล่าวก็ตาม แต่สังคมก็ยังมองว่า ก็ส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของบริษัทเช่ารถอื่น ๆ ในญี่ปุ่นเช่นกัน

ต่างชาติจัดระเบียบ "อินฟลูเอนเซอร์"

ข้อมูลเชิงสถิติจาก Travel and tour world ระบุว่าช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 นักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นอยู่ที่ประมาณ 815,800 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 จากปีก่อน ทำให้ไทยเป็นตลาดอันดับ 1 ในอาเซียน ยิ่งสะท้อนว่าผลกระทบจากการกระทำของนักท่องเที่ยวบางกลุ่ม อาจขยายผลลบเป็นวงกว้างได้อย่างรวดเร็วหากไม่มีการจัดการให้เข้มงวด 

ในขณะที่ต่างชาติได้ให้ความสำคัญกับการจัดระเบียบอินฟลูเอนเซอร์ เช่น สหภาพยุโรป (EU) ก้าวล้ำด้วย Digital Services Act (DSA) บังคับอินฟลูเอนเซอร์เปิดเผยสปอนเซอร์และห้ามทำคอนเทนต์หลอกลวง โดยอาจมีโทษถูกปรับสูงถึงร้อยละ 10 ของรายได้

สเปนใช้ "2025 Advertising Code for Influencers" กำหนดให้อินฟลูเอนเซอร์ต้องมีใบอนุญาตและติดป้าย #ad ชัดเจน หากไม่ปฏิบัติปรับสูงสุด 50,000 ยูโร 

ขณะที่ The Economic times รายงานว่า จีนออกมาตรการคุมเข้มอินฟลูเอนเซอร์ออนไลน์ โดยกำหนดให้ผู้ที่ต้องการให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นอ่อนไหวอย่าง การเงิน กฎหมาย และสุขภาพ ต้องมี คุณวุฒิทางการศึกษา หรือ ใบอนุญาตวิชาชีพ ที่เกี่ยวข้องมายืนยันก่อน มิฉะนั้นจะไม่สามารถสร้างคอนเทนต์ให้คำแนะนำในหัวข้อเหล่านี้ได้

มาตรการใหม่นี้มีเป้าหมายเพื่อลดการเผยแพร่ข้อมูลผิดพลาดและเพิ่มความรับผิดชอบของผู้สร้างเนื้อหาในโลกออนไลน์ ซึ่งกำลังมีอิทธิพลต่อสังคมจีนมากขึ้นทุกปี

ในขณะที่ประเทศไทยเลือกจัดระเบียบในมุม เก็บภาษีอินฟลูเอนเซอร์ โดยไม่มีกฎที่ควบคุมเนื้อหาการทำคอนเทนต์

ในขณะที่กระแสโลกเริ่มเข้มงวดกับความรับผิดชอบของอินฟลูเอนเซอร์มากขึ้น คำถามคืออินฟลูฯ ไทย ที่มีอิทธิพลต่อคนจำนวนมาก ควรรับผิดชอบมากกว่านี้หรือไม่ เพราะเมื่อเลือกใช้พลังของชื่อเสียงเพื่อสร้างคอนเทนต์ ก็ย่อมต้องแบกผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาพลักษณ์ของประเทศและคนทั้งกลุ่มผู้ติดตามไปด้วย

ท้ายที่สุด กรณีอินฟลูฯ ไทยเต้นบนหลังคารถ อาจเป็นบททดสอบความพร้อมของสังคมไทยในยุคที่คนไทยออกเดินทางสู่ประเทศอื่นมากขึ้น และต้องเจอวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนบ้านตัวเองเลยแม้แต่น้อย ญี่ปุ่นมีสำนวน "Ichigo Ichie" (一期一会 ) ที่แปลว่า "พบกันครั้งเดียวในชีวิต" จึงอาจเป็นข้อความเตือนใจที่ดีว่า

ทุกครั้งที่เดินทางไปยังสถานที่ใหม่ ๆ ทุกการกระทำคือการสร้างความทรงจำร่วมกับคนที่นั่น เราอาจโชคดีได้เห็นฟูจิซังในวันที่ฟ้าสดใส และอาจจะดีที่สร้างความทรงจำงดงาม แทนการทิ้งร่องรอยดรามาให้โลกออนไลน์ให้จดจำ และความหมายของคำว่า "ขอโทษ" จะกลับกลายเป็นสะพาน ไม่ใช่กำแพง

รู้หรือไม่ : คำว่า Daijoubu (大丈夫) ที่แปลว่า "ไม่เป็นไร" ไม่ได้แปลว่า ไม่เป็นไร จริง ๆ ชาวญี่ปุ่นด้วยกันย่อมรู้ดีว่า ผู้กระทำผิดยังต้องพูดคำว่า "ขอโทษ" อีกหลาย ๆ ครั้ง เพื่อแสดงถึงการสำนึกผิดจากใจจริง และ รักษามาตรฐานความกลมกลืนของสังคมญี่ปุ่น  

ที่มาข้อมูล : Thailand and tour worldOvertourism in JapanJapan intercultural ConsultingThe Japan TimesThe Economic timesThe Strait times

อ่านข่าวอื่น :

ครม.เคาะร้านค้า "คนละครึ่งพลัส" พัฒนาทักษะ รับสูงสุด 2,000 บาท

"สีหศักดิ์" ติง "แจ็กแปปโฮ" หวั่นกระทบภาพลักษณ์นักท่องเที่ยวไทย