ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

จับตา “รถบรรทุกน้ำมัน” 4 ล้านลิตร ออกจาก “ด่านช่องเม็ก” จะไปไหน?

สังคม
10:14
417
จับตา “รถบรรทุกน้ำมัน” 4 ล้านลิตร ออกจาก “ด่านช่องเม็ก” จะไปไหน?

มีคลิปที่ถูกเผยแพร่บนโซเชียลมีเดีย เป็นภาพ “รถบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่” ที่ถูกระบุว่า มีมากถึง 80 คัน กำลังรอผ่าน “ด่านช่องเม็ก” จ.อุบลราชธานี เพื่อเข้าไปยัง สปป.ลาว ซึ่งหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า “เกิดอะไรขึ้น” เพราะไม่ใช่ภาวะปกติ ที่ลาวจะขาดแคลนน้ำมันขนาดที่จะต้องมีการส่งออกจากไทยมากขนาดนี้ ในห้วงเวลานี้

หรือน้ำมันเหล่านี้จะถูกส่งผ่านไปที่อื่น เพราะมีกระแสข่าวว่า “กัมพูชากำลังขาดแคลนน้ำมัน” ซึ่งเป็น “ยุทธปัจจัย”

รถบรรทุกน้ำมันจำนวนมาก ขนส่งน้ำมัน 4 ล้านลิตร เป็นขบวนยาว ออกจาก"ประเทศไทย".. ผ่านไปลาว แล้วหยุดแค่นั้น หรือส่งต่อไปให้กัมพูชา หรือไปไหนกันแน่..? เป็นเรื่องใหญ่ที่ชวนติดตาม

1.ขบวนรถขนส่งน้ำมันจำนวนมาก รอเข้าด่านช่องเม็ก จ.อุบลราชธานี ผ่านเข้า สปป.ลาว เป็นภาพจากคลิปที่เพจ “Thai Burma railway ทางรถไฟสายมรณะ” โพสต์ไว้ชัดเจน และระบุว่า ถ่ายไว้วันนี้ (14 ธ.ค.2568) (ภาพยังสว่างอยู่) พร้อมระบุว่า ขบวนรถน้ำมันที่รอผ่านด่านช่องเม็ก สปป.ลาว จำนวน 80 คัน ถ้าเป็น Semi trailer จะสามารถบรรทุกน้ำมันได้คันละ 50,000 ลิตร หรือรวมแล้วประมาณกว่า 4 ล้านลิตร

2.ตัดภาพมาที่ ช่วงค่ำวันที่ 14 ธ.ค.2568 เวลา 19.50 น. กองทัพภาคที่ 2 ประกาศคำสั่งห้ามส่งออกสินค้าน้ำมัน เชื้อเพลิงทุกชนิด และยุทธภัณฑ์ต่าง ๆ ผ่านจุดผ่านแดนช่องเม็กฯ ส่วนอื่น ๆ ยังคงเดิม มีผลตั้งแต่เวลา 24.00 น. วันที่ 14 ธ.ค.2568 นี้

น่าสนใจว่า ทำไมจึงต้องรอเวลา 24.00 น. จึงจะปิดการส่งออก ทำไมไม่ปิดทันทีที่ประกาศ

3.สิ่งที่น่าสนใจ คือ “รถบรรทุกขนส่งน้ำมัน” จำนวนมากเหล่านี้ กำลังอยู่บนท้องถนน “แผ่นดินประเทศไทย” จะผ่านด่านช่องเม็ก เข้า สปป.ลาว แล้วหยุดที่ลาว หรือจะไปต่อที่กัมพูชา ผ่านทางด่านหนองนกเขียน และเข้าสู่เมืองสตึงเตรง กัมพูชาหรือไม่..? คงได้รู้กันในไม่ช้า

4.เรื่องนี้ เป็นเรื่องใหญ่มาก ท่ามกลางสถานการณ์ประเทศ ที่ยังปะทะกันอยู่ตามแนวชายแดน 7 จังหวัดไทย - กัมพูชา ผ่าน 1 สัปดาห์เต็มไปแล้ว คำถามคือ กัมพูชา มีน้ำมันสำรองอย่างไร และประเด็นที่สังคมกังขา คือ น้ำมันเหล่านี้ ถูกส่งไปกัมพูชาจริงหรือไม่

5.การพิสูจน์ข้อมูลที่ประจักษ์ได้ คือ การตรวจสอบ “GPS” ของรถทุกคัน เพราะเดี๋ยวนี้ระบบการขนส่งทันสมัย และ “กรมการขนส่งทางบก” กระทรวงคมนาคม และ หน่วยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต้องเร่งเข้ามาตรวจสอบให้กระจ่าง

6.“การเคลื่อนที่ของข้อมูล GPS” สำคัญที่สุด เพราะเส้นทางตามข้อมูล GPS ของรถบรรทุกหลังจากออกจากด่านช่องเม็กแล้ว ถ้าไม่ได้มุ่งหน้าไปยังศูนย์กลางเศรษฐกิจหรือคลังน้ำมันหลักของ สปป.ลาว แขวงที่มีความต้องการบริโภคสูง แต่กลับมุ่งหน้าลงใต้ และเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่องไปในทิศทางใกล้ชายแดนกัมพูชา จะสะท้อนถึงอะไรได้ชัดเจน

7.ยังต้องดูไปถึง “จุดจอดสุดท้าย” ที่ข้อมูล GPS แสดงให้เห็นว่า รถมีการจอดเป็นเวลานานผิดปกติ ณ จุดใกล้ชายแดนกัมพูชา ซึ่งหากไม่สอดคล้องกับคลังน้ำมันที่ได้รับอนุญาตของ สปป.ลาว หรือมีการจอดที่คลังน้ำมันในลาว แต่ปริมาณน้ำมันที่แจ้งนำเข้า สปป.ลาว เกินกว่าความต้องการบริโภคปกติ ของพื้นที่นั้น ๆ อย่างมาก ก็น่าสงสัย

8.ดูพฤติกรรมการขนถ่ายและการรายงานความถี่ของการขนส่ง
น่าสนใจว่า หากพบว่ามีขบวนรถบรรทุกขนาดใหญ่จำนวนมาก เช่น กรณี 4 ล้านลิตร แบบนี้ ออกจากช่องเม็กในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน และมีปลายทางตาม GPS ไปยังจุดเดิมซ้ำ ๆ ใกล้ชายแดนกัมพูชา อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นความผิดปกติอย่างชัดเจน เนื่องจากปกติการนำเข้าน้ำมันของลาว จะมีการกระจายตัวตามความต้องการ

9.ดูเอกสารปลายทาง ที่อาจระบุไม่ชัดเจน เอกสารการส่งออกที่แจ้งต่อ “กรมศุลกากร” และ “กรมธุรกิจพลังงาน” ระบุปลายทางในลาว แต่ขาดเอกสารพิสูจน์การรับมอบหรือการบริโภค ที่ถูกต้องตามกฎหมายของ สปป.ลาว หรือมีการแจ้งข้อมูลการซื้อขายที่ต่ำกว่าความเป็นจริง เพื่อเลี่ยงภาษีและมาตรการควบคุม

10.หลักฐานทางกายภาพ ณ จุดถ่ายน้ำมัน
- สภาพพื้นที่ถ่ายน้ำมัน น่าสนใจว่า หากพบว่าจุดจอดและถ่ายน้ำมันใน สปป.ลาว ไม่ใช่คลังน้ำมันที่เป็นทางการ แต่เป็นพื้นที่โล่ง มีการติดตั้งอุปกรณ์ขนถ่ายแบบชั่วคราว หรือมีรถบรรทุกจากฝั่งกัมพูชามารอรับน้ำมันต่อ ณ บริเวณใกล้เคียงชายแดน ถือเป็นหลักฐานสำคัญของการลักลอบถ่ายน้ำมันเพื่อส่งต่อไปยังกัมพูชา

- การตรวจสอบความผิดปกติเหล่านี้ต้องอาศัยการประสานงานระหว่าง กรมการขนส่งทางบก(ดูเรื่อง GPS ), กรมธุรกิจพลังงาน (ดูเรื่องการค้าน้ำมัน), และ กรมศุลกากร (ดูเอกสารส่งออก) เพื่อนำข้อมูลมาพิสูจน์ร่วมกัน

กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) จึงเป็นหน่วยงานแรกและสำคัญที่สุดในการดึงข้อมูล GPS มาใช้เป็นหลักฐานในการสืบสวนร่วมกับ กรมธุรกิจพลังงาน และ กรมศุลกากร และควรมีกระบวนการตรวจอย่างโปร่งสร้างความกระจ่างให้สังคมได้ ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้

นี่เป็นการตั้งข้อสังเกตต่อเรื่อง “GPS” และระบบที่เกี่ยวข้องเท่านั้น

ข้อสังเกตอื่น ๆ ที่น่าจับตามอง

ข้อสังเกต “ประเด็นการตรวจสอบการขนส่งและลักลอบส่งออกน้ำมันอย่างผิดกฎหมาย”

โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่รัฐบาล มีมาตรการระงับการส่งออก หน่วยงานที่ควรเข้ามาตรวจสอบเข้มข้นที่สุดตามลำดับ

1.กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กระทรวงพลังงาน บทบาทสำคัญ เป็นหน่วยงานหลักในการกำกับดูแลและตรวจสอบปริมาณการค้าน้ำมัน รวมถึงการส่งออกตามกฎหมาย กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันต้องรายงานข้อมูลการส่งออกอย่างเคร่งครัด/ มีอำนาจสูงสุดในการกำกับดูแลการเคลื่อนย้ายน้ำมันตามปริมาณที่กฎหมายกำหนด หากพบการรายงานเท็จหรือไม่รายงานจะมีโทษตามกฎหมาย

2.พลังงานจังหวัด (ในพื้นที่ติดชายแดน โดยเฉพาะ จ.อุบลราชธานี) บทบาทสำคัญ เป็นผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่และได้รับการกำชับให้ตรวจสอบการลักลอบส่งออกน้ำมันทั้งที่ส่งจากไทยโดยตรง และลักลอบการส่งผ่าน สปป.ลาว เป็นด่านหน้าในการเฝ้าระวังและตรวจสอบทางกายภาพในพื้นที่ชายแดนโดยตรง

3.กรมศุลกากร บทบาทสำคัญ มีหน้าที่ตรวจสอบสินค้าเข้า-ออก ณ ด่านชายแดน (เช่น ด่านช่องเม็ก) เพื่อป้องกันการลักลอบนำของออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือไม่เป็นไปตามมาตรการควบคุมการส่งออก มีอำนาจในการตรวจสอบและจับกุมที่จุดผ่านแดน

4.กองทัพ (หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน) บทบาทสำคัญรับผิดชอบด้านความมั่นคงและป้องกันการลักลอบขนสินค้าผิดกฎหมาย หรือสินค้าควบคุมที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ทำงานร่วมกับหน่วยงานพลเรือนเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงตามแนวชายแดน

ขณะที่ก่อนหน้านี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า ทางกระทรวงพลังงานได้ยืนยันว่า ประเทศไทยได้ระงับการส่งออกน้ำมันไปยังกัมพูชา 100 % ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา และมีการกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบการลักลอบอย่างเข้มงวด

วิเคราะห์ : ภัทราพร ตั๊นงาม ผู้สื่อข่าวอาวุโส ไทยพีบีเอส

อ่านข่าว : ชายแดนสุรินทร์ปะทะวันที่ 8 - โคราชได้เบาะแสทหารรับจ้างหวังโจมตีกองบิน 1

กัมพูชาอพยพ 4 แสนคน หนีปะทะชายแดน เด็ก-ผู้หญิงเดือดร้อนหนัก

กกต.ถกแบ่งเขตเลือกตั้ง-เคาะวันกาบัตร คาด 8 ก.พ.69