นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหาภาควิชาการ กล่าวสรุปการอภิปรายไม่ไว้วางรัฐบาล โดยไม่ลงมติว่า การระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาในการทุจริตคอร์รัปชั่นในโครงการดังกล่าวอย่างไร และภาระหนี้สาธารณะที่จะพุ่งสูงขึ้นในช่วง 7-10 ปีข้างหน้า รัฐบาลจะมีแนวทางรับมือเช่นไร รวมถึงปัญหาทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวแบบครบวงจรในทุกขั้นตอน นั้นกำลังเป็นปัญหา รวมถึงการพยายามควบคุมกลไกตลาดค้าข้าวซึ่งเป็นไปได้ยาก
นายคำนูณได้แสดงเอกสาร 3 ฉบับที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังส่งหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงความห่วงใยการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว เนื่องจากส่งผลให้หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น พร้อมเน้นให้รัฐบาลเร่งระบายข้าวออกโดยเร็วที่สุด พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลปฏิบัติตามข้อแนะนำจากกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.
และขอให้นายกฯมอบให้นายกิตติรัตน์ เตรียมพัฒนายุทธศาสตร์ลงทุนในระบบสาธารณูปโภคที่รองรับการพัฒนาประเทศในช่วง 10 ปีข้าวหน้า เพื่อยกระดับประเทศ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มหนี้สาธารณะให้สูงขึ้นตามความจำเป็น ขณะที่โครงการรับจำนำข้าวที่ยังคงเป็นโครงการปลายเปิดที่จะเพิ่มหนี้สาธารณะให้สูงขึ้น
นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ยังสอบถามรัฐบาลถึงการขายข้าวในโครงการรับจำนำข้าวที่ขณะนี้มีราคาสูงกว่าราคาตลาด ซึ่งรัฐบาลจะดำเนินการเช่นไร รวมถึงการระบายข้าวในรูปแบบรัฐต่อรัฐที่รูปแบบวิธีการที่ยังคงเป็นปัญหาเนื่องจากยังไม่มีความชัดเจน แม้ว่ารัฐบาลจะชี้แจงว่ามีการขายแบบรัฐต่อรัฐให้กับหลายประเทศ แต่ยังไม่มีการอธิบายที่ชัดเจนถึงกระบวนการดังกล่าวที่ชัดเจนเพียงพอ
และหากรัฐบาลจะดำเนินโครงการเป็นระยะเวลา 4 ปีก็จะส่งผลให้รัฐบาลต้องแบกรับภาระหนี้สาธารณะปีละกว่า 100,000 ล้านบาท อาจเพิ่มหนี้สาธารณะให้สูงถึง 400,000 ล้านบาท ในระยะเวลา 4 ปีของการดำเนินโครงการ
นางนฤมล ยังเรียกร้องว่า รัฐบาลจำเป็นต้องให้การช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่จะได้รับความเดือดร้อนจากนโยบายการขึ้นค่าแรง 300 บาทต่อวัน และมีความแตกแยกเกิดขึ้นภายในสภาอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังรวมถึงการผลักดันการบรรจุพยาบาลวิชาชีพ ลูกจ้างชั่วคราวของกระทรวงสาธารณสุข เข้าเป็นข้าราชการ รวมถึงการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ขณะนี้ความรุนแรงยังคงเพิ่มสูงขึ้นแม้ว่าจะมีการเพิ่มเงินงบประมาณลงไปเป็นจำนวนมาก รวมถึงการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ประกาศใช้มาอย่างยาวนาน และต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 30 กว่าครั้ง และการพิจารณาจัดตั้งเขตปกครองพิเศษทางวัฒนธรรม และปลอดอบายมุขในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเรียกร้องให้มีการรับผิดชอบจากผู้ที่เกี่ยวข้องในโครงการก่อสร้างสนามบางกอกฟุตซอล อารีน่า
ส.ว.อุตรดิตถ์ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่เพิ่มขึ้น และการหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติม และการแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ให้มาช่วยสนับสนุนนโยบายประชานิยม และการสร้างความปรองดองด้วยการดำเนินคดีด้วยความยุติธรรม และเท่าเทียม
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า ขณะนี้ไทยมีตัวลเขจีดีพีอยู่ที่ 12 ล้านล้านบาท ซึ่งกรอบตัวเลขหนี้สาธารณะตามวินัยการคลังได้กำหนดไว้ที่ ไม่เกินร้อยละ 60 หรือประมาณ 4.9 ล้านล้านบาท ซึ่งขณะนี้หนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ร้อยละ 44.4 ซึ่งยังถือว่าต่ำหากเทียบกับประเทศอื่นๆ
ทั้งนี้ หากสามารถขยายอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่ร้อยละ 5 ซึ่งเท่ากับว่ารัฐบาลจะมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 600,000 ล้านบาท และหากจะมีหนี้สาธารณะอยู่ที่ร้อยละ 60 ของจีดีพี หรืออยู่ที่ 300,000 ล้านบาท ซึ่งแสดงว่าตัวเลขหนี้สาธารณะยังคงอยู่ในกรอบที่สามารถบริหารจัดการได้
นายกิตติรัตน์ ยังระบุว่า หนังสือแสดงความห่วงใยจากกระทรวงการคลังที่ส่งไปยังคณะรัฐมนตรีถือว่าเป็นภารกิจสำคัญที่ต้องดูแลให้เกิดความสุจริต โปร่งใส และไม่รั่วไหล รวมถึงการดำเนินการจำหน่ายข้าวให้เกิดเงินหมุนเวียนเพื่อขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวในอนาคตต่อไป และวิธีการเหล่านี้รัฐบาลในทุกยุคได้กำเนินหารเช่นเดียวกัน และกระทรวงการคลังจะยังคงติดตาม และแสดงความเป็นห่วงในการดำเนินโครงการทุกโครงการของรัฐบาลเสมอ
ทั้งนี้ ได้เคยพิจารณากรอบโครงการรับจำนำข้าวสูงถึง 400,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อนำไปสู่การดำเนินนโยบายจริงนั้นถือว่าต่ำกว่ากรอบที่ได้วางไว้ และมิได้ตั้งใจว่าจะดึงปริมาณข้าวเข้าสู่รัฐบาลทั้งหมด แต่เป็นเพียงการช่วยเหลือในส่วนของอุปทานที่จะเข้าสู่ระบบตลาด เพื่อช่วยให้ราคาข้าวในตลาดสูงขึ้น
ขณะที่หากเปรียบเทียบโครงการประกันราคาข้าว และการรับจำนำข้าวนั้น รัฐบาลยังคงมีความพยามที่จะขายข้าวให้ได้ราคาดีที่สุด และแม้ว่าจะมีการขาดทุนบ้างเล็กน้อยรัฐบาลก็ยังคงมีข้าวเหลืออยูในสต๊อก หากเทียบกับนโยบายประกันราคาข้าวที่ชดเชยส่วนต่างนั้น รัฐบาลจะไม่มีข้าวเหลือในสต็อกเลย และ นายกิตติรัตน์ยังยืนยันว่าจะดำเนินโครงการในระยะสั้นเท่านั้น
ขณะที่นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ย้ำว่าโครงการรับจำนำข้าวได้รับความนิยมจากเกษตรกร ซึ่งมีแนวคิดแตกต่างจากโครงการประกันราคาข้าว และจากผลสำรวจของโพลสำรวจหลายสำนักระบุว่าเกษตรกรส่วนใหญ่พอใจโครงการดังกล่าว และต้องการให้ดำเนินโครงการต่อไป