กลุ่มชลบุรีย้ำจุดยืนชัดเจนไม่เอาสมาคม
ขั้วการเมืองในวงการฟุตบอลถูกแบ่งเป็น 2 ขั้วอย่างชัดเจนหลังจากที่นาย วิจิตร เกตุแก้ว อดีตนายกสมาคมฟุตบอลลงจากตำแหน่ง และนาย วรวีร์ มะกูดี ขึ้นมาเป็นนายกสมาคมฟุตบอล ซึ่งกลุ่มชลบุรีที่มีพันธมิตรในกลุ่มที่เหนียวแน่นกว่า 20 เสียงมีนายอรรณพ สิงห์โตทอง รองประธานสโมสรฟุตบอลชลบุรีเป็นแกนนำเปิดเผยอย่างชัดเจนที่จะอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับนายวรวีร์ แม้ก่อนหน้านี้นายอรรณพ กับนายวรวีร์ จะมีความสนิทสนมกัน เพราะมีนายวิจิตร เกตุแก้ว อดีตนายกสมาคมฟุตบอลเป็นตัวเชื่อมก็ตาม
แต่ด้วยเหตุผลที่กลุ่มชลบุรีอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงของการพัฒนาวงการฟุตบอลไทยในยุคนี้ ประกอบกับการไม่เห็นด้วยกับแนวทางการบริหารของนายวรวีร์ จึงเป็นที่มาของการประกาศตัวอยู่ขั้วตรงข้ามกับสมาคมฟุตบอลในยุคของนายวรวีร์
นอกจากกลุ่มชลบุรีแล้ว กลุ่มที่มีการพลิกขั้วมาอยู่ร่วมกับกลุ่มชลบุรีคือฝั่งของนายเนวิน ชิดชอบ, นายวิจิตร เกตุแก้ว และนายวิรัช ชาญพานิชย์ ผู้สมัครลงชิงตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอล ซึ่งนายเนวิน แม้จะเคยช่วยนายวรวีร์ ชนะการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว แต่สาเหตุของการโดดเดี่ยวนายวรวีร์มีชนวนเหตุมาจากการที่สมาคมฟุตบอลไม่ยอมจัดเกมลีกสำรองตามที่ตกลงกันไว้
และฟางเส้นสุดท้ายของนายเนวิน เกิดขึ้นจากการที่ทีมบุรีรัมย์ได้แชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก เมื่อฤดูกาลที่แล้ว แต่สมาคมไม่ยอมนำถ้วยแชมป์ไปมอบที่สนามไอโมบายสเตเดี้ยม โดยเลือกที่จะมอบถ้วยที่จ.เชียงราย ซึ่งเป็นนัดสุดท้ายของทีมบุรีรัมย์ วันนั้น นักเตะ สต้าฟโค้ช ตัดสินใจไม่ยอมรับถ้วยแชมป์จากนายวรวีร์
ขณะที่นายวิรัช ชาญพานิชย์ ผู้ที่สนิทกับนายวิจิตร ไม่พอใจนายวรวีร์ เพราะแนวคิดการทำงาน และการบริหารทีมชาติขัดแย้งกันในสมัยที่นายวิรัช รับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมชาติไทยในยุคที่ฟุตบอลไทยเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอเชีย
ส่วนนายวิจิตร เกตุแก้ว ผู้กุมเสียงของสโมสรสมาชิกสมาคมฟุตบอลอยู่มากมาย และสนิทสนามกับนายวิรัช, นายอรรณพ มานานกว่า 20 ปี เช่นเดียวกับการทำงานร่วมกับนายวรวีร์ มานาน ตัดสินใจพลิกขั้วมาอยู่กับฝั่งชลบุรี เนื่องมาจากความขัดแย้งส่วนตัวกับนายวรวีร์ และคนในวงการฟุตบอลรู้ดีว่าการแตกหักครั้งนี้ของนายวรวีร์ กับนายวิจิตร อาจจะไม่สามารถกลับมามองหน้ากันได้เหมือนสมัยที่นายวิจิตร หักหลังกลุ่มชลบุรี พลิกขั้วนาทีสุดท้ายมาช่วยนายวรวีร์ ในการเลือกตั้งสมัยที่แล้ว