การทำงานของหน่วยความมั่นคงใน3จ.ชายแดนใต้
ความคาดหวังของนายกรัฐมนตรีในการถอนกำลังทหารจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ภายในปี 2555 หากสถานการณ์การก่อการร้ายในพื้นที่คลี่คลายลง สอดรับกับแผนงานของกองทัพ ที่คาดการณ์ว่าภายในปี 2557 สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จะกลับคืนสู่สภาวะปกติ แต่ยังมีข้อกังวลจากบางฝ่ายที่ดูจะยังไม่มั่นใจต่อสถานการณ์ที่เป็นอยู่ หากยังไม่เกิดเอกภาพในการทำงานจากหน่วยความมั่นคงในพื้นที่ ติดตามจากรายงาน
สถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดความรุนแรงเพิ่มขึ้นหลังเหตุการณ์ปล้นปืนในกองพันทหารพัฒนาที่สี่ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวา เมื่อต้นปี 2547 ทำให้กองทัพบกปรับการทำงานในพื้นที่ช่วงปลายปี 2549 ด้วยการนำกำลังทหารจากทุกกองทัพภาคเข้าทำงานในพื้นที่นราธิวาส ยะลา ปัตตานี และสี่อำเภอของจังหวัดสงขลา ในปัจจุบันมีกำลังทหารกว่าสามหมื่นคนปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงอีกร่วมสามหมื่นคนในส่วนของตำรวจและฝ่ายปกครอง โดยมียอดตัวเลขของผู้เสียชีวิตเฉียดสี่พันคนนับจากเหตุการณ์ปล้นปืน และจำนวนครั้งของเหตุร้ายในปี 2552 ลดลงกว่าครึ่งจากจำนวนเหตุร้ายที่มีมากถึงสองพันสามร้อยครั้งในปี 2550
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศระหว่างเดินทางลงภาคใต้เมื่อวานนี้ (7 ม.ค.) ว่าพร้อมปรับถอนทหารจากพื้นที่ภายในปี 2555 หากสถานการณ์ความรุนแรงคลี่คลายลง ในขณะที่สว.ปัตตานีเห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว และเห็นว่าการดึงภาคประชาสังคมเข้าร่วมในการแก้ปัญหาน่าเป็นทางออกหนึ่ง
ด้านพล.อ กิตติ รัตนฉายา อดีตแม่ทัพภาค4 กล่าวว่าการคงกำลังทหารจำนวนมากในพื้นที่อย่างที่เป็นอยู่ไม่เกิดประโยชน์หากยังไม่มีแนวทางการทำงานที่ถูกต้อง และเชื่อว่าแนวโน้มสถานการณ์จะยังคงมีความรุนแรงอยู่
ขณะที่นายทหารระดับสูงในกองทัพคนหนึ่งคาดการณ์ว่าภายในปี 2557 สถานการณ์น่าจะกลับคืนสู่สภาวะปกติ หากเจ้าหน้าที่สามารถทำงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในการลดพื้นที่หมู่บ้านสีแดงให้ได้ร้อยละสิบต่อปีจากจำนวนหมู่บ้านสีแดงกว่าสองร้อยหมู่บ้านให้กลายเป็นพื้นที่สีขาว และเห็นว่าห้วงเวลาของนายกรัฐมนตรีที่ประกาศไว้ในการปรับกำลังทหารอยู่ในกรอบการทำงานของกองทัพ แต่ก็ยอมรับว่าความไม่เป็นเอกภาพในแนวคิดและแนวการทำงานของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ในกองทัพเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การแก้ปัญหาในพื้นที่ยังเดินหน้าไม่ได้เต็มที่ และย้ำว่าการต่อสู้ที่ดำเนินการอยู่ยากที่จะประสบความสำเร็จหากไม่สามารถชนะใจมวลชนในหมู่บ้านได้