นักวิชาการเสนอปฏิรูปกองทัพ ก่อนหน้าปฏิรูปการเมือง
การสำรวจความเห็นของประชาชนใน 3 สำนักพบว่า คนไทยส่วนใหญ่ยังคงวิตกกังวลกับเหตุการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะการชุมนุมและการบังคับใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ขณะที่วงเสวนาทางการเมืองนักวิชาการและนักสันติวิธีสะท้อนถึงผลของการยึดอำนาจรัฐประหารคือเหตุที่ทำให้กองทัพเข้ามามีบทบาททางการเมือง
การเสวนาตามโครงการร่วมปฏิรูปประเทศไทย เรื่อง “19 กันยา4 ปีกับการปฏิรูปกองทัพไทย” ซึ่งสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสถาบันอิศรามูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดขึ้นโดยนักสันติวิธีและนักวิชาการเข้าร่วม โดยข้อมูลเบื้องต้นในช่วงเช้ามีการสะท้อนความเห็นว่า 4 ปีที่ผ่านมาผลของการยึดอำนาจรัฐประหารทำให้กองทัพเข้ามามีบทบาททางการเมืองมากขึ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม และเห็นว่า กองทัพมีบทบาทต่อการใช้ความรุนแรงในการแก้วิกฤตการณ์ของบ้านเมืองโดยมีข้อเสนอให้กองทัพปฏิรูปตัวเองก่อนเพื่อเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทยร่วมกับภาคอื่นๆในสังคม
ผลการสำรวจความเห็นคนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 1,232 คน ต่อกรณีสิ่งที่ห่วงกับการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 56.3 ไม่เห็นด้วยกับการบังคับใช้กฎหมายพิเศษ ขณะที่ร้อยละ 43.7 เห็นควรคงการบังคับใช้ต่อไปส่วนเหตุผลที่ห่วงมากที่สุด คือ อาจทำให้ชาวต่างชาติหวาดกลัว ไม่กล้ามาไทยและจะส่งผลถึงปัญหาด้านอื่น
ขณะที่สวนดุสิตโพล สำรวจความเห็นประชาชนกรณีการสร้างกำลังใจผ่านคำอธิษฐานกลับพบว่า ในจำนวน 2,328 คนยอมรับว่า ใช้วิธีการทำบุญไหว้พระและตั้งจิตอธิษฐาน และร้อยละ 53.52 อธิฐานขอให้บ้านเมืองสงบสุข และขอให้เลิกทะเลาะกัน, อยากได้นักการเมืองที่ดี, เลิกทุจริต และอยากให้สถานการณ์ใต้สงบสุข ตามลำดับ
ส่วนผลสำรวจด้านสุขภาพจิตของคนไทยทั้งประเทศ ของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พบว่า คนไทยมีแนวโน้มการปรับภาวะอารมณ์ทางการเมืองลดลงทุกภาค ยกเว้นภาคเหนือที่ สูงขึ้น และภาพรวม 1 ใน 3 ของคนทั้งประเทศ หรือ ร้อยละ 38 มีความวิตกกังวลกับเหตุการณ์ความรุนแรงและการวางระเบิด และโดยสรุปยังพบว่า ผู้มีปัญหาด้านสุขภาพจิต ส่วนหนึ่งเป็นโรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า และโรคเครียด แต่ส่วนใหญ่ใช้วิธีการปรับอารมณ์ ด้วยการไม่ใส่ใจกับปัญหา