วันนี้ (20 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอสรายงานว่า ในการสัมมนาเรื่อง “ผลกระทบและทางออกสัมปทานปิโตรเลียมหมดอายุ” จัดโดย สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบาย และแผนพลังงาน หรือ สนพ. เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติเปิดประมูลผู้รับสัมปทานผลิตก๊าซธรรมชาติในแหล่งบงกช และเอราวัณ ที่กำลังจะหมดอายุในปี 2565 เพื่อรักษาภาพลักษณ์ความโปร่งใส ทั้งที่ตระหนักถึงความเสี่ยงพลังงาน หลังจากประเมินว่า ช่วงรอยต่อการส่งผ่านระหว่างผู้รับสัมปทานรายเดิม ที่จะทยอยลดกำลังการผลิต และการลงทุน เพื่อส่งมอบให้ผู้รับสัมปทานรายใหม่ ส่งผลให้ ตั้งแต่ปี 2561-2565 คนไทย อาจเผชิญความเสี่ยงด้านปริมาณก๊าซไม่เพียงพอ กับประมาณการณ์ความต้องการใช้ก๊าซสำหรับผลิตไฟฟ้า
ขณะเดียวกัน การนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจี เพื่อชดเชยปริมาณก๊าซที่หายไปจากระบบ อาจประสบปัญหาลงทุนสถานีขนถ่าย อาจไม่ทันต่อความต้องการใช้ไฟฟ้า ส่งผลให้อาจกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน ด้านการจัดหาไฟฟ้า และต้นทุนการผลิตไฟฟ้าแพงขึ้น จึงเตรียมแผนรับมือทั้งรณรงค์ประหยัดไฟอย่างจริงจัง โดยเบื้องต้นจะขอความร่วมมือเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน หรือถึงขั้นบังคับให้เปลี่ยน รวมทั้งห้างสรรพสินค้า อาจกำหนดเวลาเปิดปิด เพื่อลดการใช้พลังงาน ตลอดจน นำเข้าก๊าซแอลพีจี เพื่อทดแทนการผลิต เป็นต้น
ขณะที่ นายฐิตินันท์ บุญปราโมทย์ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมเหมืองแร่ และปิโตรเลียม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ระบุว่า กพช.ควรกำกับให้ผู้รับสัมปทานรายใหม่ ต้องผลิตก๊าซต่อเนื่อง หลังมีมติยกเลิกสัมปทานและเปิดประมูลใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการขาดแคลน แต่เชื่อว่าการประมูลดังกล่าว จะได้ผู้รับสัมปทานรายเดิม
ก่อนหน้านี้เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังไทย หรือ คปพ. ได้เรียกร้องให้รัฐบาลเปิดประมูลสัมปทานปิโตรเลียมอย่างโปร่งใส และแก้ไขกฎหมายปิโตเลียม 2 ฉบับ ก่อนจะมีการประมูล