กสม.แจงเดือด "ฮิวแมน ไรทส์ วอทช์" ปมละเมิดสิทธิมนุษยชน

สังคม
10 ก.ค. 62
12:44
1,998
Logo Thai PBS
กสม.แจงเดือด "ฮิวแมน ไรทส์ วอทช์" ปมละเมิดสิทธิมนุษยชน
กสม.ออกแถลงการณ์ครั้งแรก ชี้แจงรายงานสรุปสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยขององค์กรฮิวแมน ไรทส์ วอทช์ หลังพบหลายประเด็นที่ไทยถูกพาดพิงไม่ถูกต้อง และไม่เป็นธรรมกับไทย ทั้งที่ได้มีการแก้ปัญหา ทั้งกรณีเสรีภาพในการแสดงออก ผู้ลี้ภัย แรงงานข้ามชาติ

วันนี้ (10 ก.ค.2562)  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกคำชี้แจงที่ 1/2562 กรณีรายงานสรุปสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยขององค์กรฮิวแมน ไรทส์ วอทช์ โดยมีเนื้อหาดังนี้ ตามที่องค์กรฮิวแมน ไรทส์ วอทช์ (Human Rights Watch : HRW) เผยแพร่รายงานสรุปสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนทั่วโลก ครั้งที่ 29 ประจำปี 2562 (World Report 2019) มีการนำเสนอสถานการณ์เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนของประเทศไทยในช่วงปี 2561 อยู่หลายประเด็น 

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) พิจารณาแล้วเห็นว่า รายงานดังกล่าวมีการระบุข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยที่อาจไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม กสม. จึงได้ตรวจสอบเพื่อชี้แจงหรือรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องต่อกรณีตามรายงานข้างต้น เพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไป ตามหน้าที่และอำนาจที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 247 (4) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2560 มาตรา 26 (4) และมาตรา 44 ดังนี้

ในภาพรวม กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่ารายงานสรุปสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในส่วนที่เกี่ยวกับประ เทศไทยขององค์กรฮิวแมน ไรทส์ วอทช์ ประจำปี 2562 ซึ่งเป็นรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์ในช่วงปี 2561 ได้นำเสนอเนื้อหาหลายประการที่เป็นประเด็นเดียวกับที่ปรากฏในรายงานฉบับปีที่ผ่านมา

มีบางเรื่องที่กสม.ได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่ามีข้อเท็จจริงที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม และได้มีการชี้แจงไปแล้วได้แก่ ประเด็นเกี่ยวกับการบังคับบุคคลให้สูญหายและการทรมาน กรณีเหตุการณ์ประท้วงทางการเมืองในปี 2553 การแก้ไขกฎหมายที่ทำให้ กสม.ขาดความเป็นอิสระในการทำหน้าที่ และกรณีความรุนแรงและการปฏิบัติที่มิชอบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้ง กรณีนโยบายปราบปรามยาเสพติดทั้งนี้ในประเด็นดังกล่าวกสม.ขอยืนยันข้อมูลตามคำชี้แจง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 18 เม.ย.2561 

สำหรับเนื้อหาในรายงานสรุปสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ประจำปี 2561 ส่วนอื่นๆนั้น กสม.พิจารณาแล้วเห็นว่า มีบางเรื่องที่รายงานข้อเท็จจริงที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม จึงได้ทำการตรวจสอบและจัดทำคำชี้แจง รวมทั้งให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องในประเด็นดังกล่าว

เสรีภาพในการแสดงออก

1.1 กรณีที่รายงานว่า รัฐบาลชะลอการยกเลิกมาตรการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก การสมาคม และการชุมนุมอย่างเข้มงวด ทั้งที่มีการประกาศให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนก.พ.2562 แล้ว

จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.2561 ได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 22/2561 เรื่อง การให้ประชาชนและพรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งมีผลให้ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. จำนวนหลายฉบับ รวมทั้งการยกเลิกความผิดฐานมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองเกินกว่า 5 คนขึ้นไปตามข้อ 12 ของคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ทำให้ประชาชนและพรรคการเมืองสามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค.2561 เป็นต้นไป และปัจจุบันก็มีการเลือกตั้งแล้ว

1.2 กรณีที่รายงานว่านักเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างน้อย 130คน ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดถูกดำเนินคดีในข้อหาชุมนุมอย่างผิดกฎหมาย และบางคนถูกดำเนินคดีในข้อหายุยงปลุกปั่นจากการเรียกร้องอย่างสงบ ให้รัฐบาลทหารจัดการเลือกตั้งโดยไม่ให้มีการชะลอออกไป และให้ยกเลิกมาตรการจำกัดเสรีภาพขั้นพื้นฐานโดยทันที

จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 22/2561 ดังกล่าวข้างต้น ได้ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ข้อ 12 ทำให้ศาลจำหน่ายคดีในข้อหาชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป

 

นอกจากนี้ จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย พบว่าในบางกรณีที่รัฐสกัดกั้นการชุมนุม ผู้จัดการชุมนุมได้ขอให้ศาลปกครองมีคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาคดีเพื่อคุ้มครองเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ เช่น การจัดกิจกรรม “We Walk…เดินมิตรภาพ” ของเครือข่ายประชาชน People Go Network เมื่อเดือนม.ค. 2561

ซึ่งศาลได้มีคำสั่งมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการใด ๆ ที่มีลักษณะเป็นการปิดกั้น ขัดขวางการใช้เสรีภาพในการชุมนุมภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย รวมทั้งให้ดำเนินการใช้อำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558  ในการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ดูแลการชุมนุมสาธารณะและรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนโดยเคร่งครัด เป็นผลให้กิจกรรมดังกล่าวสามารถดำเนินการได้จนแล้วเสร็จ เป็นต้น

 

ผู้ลี้ภัย ผู้แสวงหาที่ลี้ภัย และแรงงานข้ามชาติ

2.1 กรณีที่รายงานว่ามีการจับและควบคุมตัวผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัยกว่า 200 คนจากเวียดนาม กัมพูชา และปากีสถานในห้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่มีสภาพเลวร้าย มีการแยกเด็กกว่า 50 คน ออกจากพ่อแม่

ข้อเท็จจริงในประเด็นแยกเด็กออกจากบิดามารดาว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจ เรื่องการกำหนดมาตรการและแนวทางแทนการกักตัวเด็กไว้ในสถานกักตัวคนต่างด้าวเพื่อรอการส่งกลับเมื่อวันที่ 21 ม.ค.2562 เพื่อไม่ให้มีการคุมขังเด็กในห้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองตามนโยบายของรัฐบาล

การจัดทำ MoU มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบและแนวทางปฏิบัติงานของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการไม่กักตัวเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีไว้ในสถานกักตัวฯ โดยจะจัดให้เด็กและมารดาอยู่ในบ้านพักเด็กและครอบครัวของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรืออยู่ภายใต้การดูแลขององค์กรภาคเอกชน หรือองค์กรภาคประชาสังคม และหามาตรการในการช่วยเหลือในระยะยาว

และจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อวันที่ 10 ม.ค.2562 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้มีระบบคัดกรองคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการจัดทำร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคัดกรองและคุ้มครองคนต่างด้าว ที่เข้ามาในราชอาณาจักรและไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ พ.ศ. ....

ปลดสถานะใบเหลืองของภาคประมงไทย

2.2 กรณีที่รายงานว่าสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย (NFAT) ซึ่งมีอิทธิพลได้รณรงค์ต่อต้านการให้สัตยาบันและการดำเนินงานตามอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 188 ว่าด้วยการทำงานในภาคประมง ซึ่งจะให้ความคุ้มครองอย่างเพียงพอกับคนงานประมงที่เสี่ยงภัย

จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 188 ว่าด้วยการทำงานในภาคประมงแล้วเมื่อวันที่ 30 ม.ค.2562  และจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 30 ม.ค.2563 การให้สัตยาบันอนุสัญญาดังกล่าวส่งผลให้ประเทศไทย มีพันธกรณีต้องดำเนินการต่าง ๆ เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิแรงงานในภาคประมงตามที่กำหนดในอนุสัญญาฯ และต่อมาได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานในงานประมง พ.ศ.2562 ซึ่งเป็นกฎหมายที่อนุวัติการให้เป็นไปตามอนุสัญญาดังกล่าว

 

 

2.3 กรณีที่รายงานว่ากระทรวงการต่างประเทศสหรัฐจัดให้ประเทศไทยอยู่ใน Tier 2 ในรายงานประจำปีว่าด้วยการค้ามนุษย์ และคณะมนตรียุโรปได้แสดงข้อกังวลเกี่ยวกับการค้ามนุษย์และแรงงานบังคับในเรือประมงไทย โดยได้ให้ใบเหลืองกับประเทศไทย ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าอาจมีการคว่ำบาตรทางการค้าเนื่องจากการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และขาดการควบคุม (IUU fishing)

จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อวันที่ 8 ม.ค.2562  สหภาพยุโรปได้ประกาศปลดสถานะใบเหลืองของภาคประมงไทย เพื่อแสดงการยอมรับต่อความก้าวหน้าของการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม ของไทย 

จึงชี้แจงมาเพื่อทราบทั่วกัน

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง