วันนี้ (4 พ.ย 2562) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงประเมินผลการทำงานของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ระบุว่าพรรคเพือไทย ไม่ยึดติดกับตัวบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญปี 2560 หลังมีกระแสข่าวว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะมารับตำแหน่ง
แต่ย้ำว่าต้องเป็นบุคคลที่เป็นที่ยอมรับในทุกภาคส่วน ต้องมีหลักการที่ชัดเจนในการเจรจา ต้องให้ประชาชนมั่นใจว่าการออกกฎกติกานั้นมีจุดยืนประชาธิปไตยตามหลักสากล เพื่อแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่างสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
โฆษกพรรคเพื่อไทยยัง เรียกร้องไปยัง กกต.ให้ตรวจสอบการดำเนินนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ ที่เป็นการดำเนินนโยบายที่คิดใหม่หรือไม่ เพราะไม่ได้ดำเนินนโยบายตามที่แถลงต่อรัฐสภา โดยถามว่ามีเจตนาที่บริสุทธิ์หรือไม่ พร้อมตั้งข้อสังเกตนโยบายทำทันทีของรัฐบาลที่ไม่ได้ทำจริง แต่ทำนโยบายติดจีพีเอสรถทุกคัน เป็นการเคาะกะลาให้มีการวิ่งเต้นสร้างผลงานที่รับประโยชน์ของพรรคการเมืองที่ดูแลกระทรวงนี้หรือไม่ ก่อนจะย้ำว่าผลประเมินงานรัฐบาลนี้ว่าไร้เอกภาพทางความคิดและรูปธรรมในการแก้ไขปัญหา
นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ที่ยอมรับแสดงความรับผิดชอบกรณีปัญหาเหมืองอัคราว่า หากรัฐบาลจะยอมเสียค่าโง่นั้น ก็ไม่ควรนำเงินจากรายได้จัดเก็บภาษีประชาชน หรืองบประมาณงบกลางไปใช้ดำเนินการในช่วงที่เศรษฐกิจไทยกำลังประสบปัญหาวิกฤต
ขณะที่ปัญหาเรื่องแนวทางกราแก้ที่สหรัฐอเมริกาตัดสิทธิจีเอสพีของไทยนั้น เรียกร้องให้รัฐบาลหาแผนรองรับที่เป็นรูปธรรม เพราะอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย แม้จะมีการสื่อสารว่าสหรัฐฯรับที่จะทบทวนแต่ยังไม่เห็นผลลัทพ์ที่ชัดเจนจากการประชุมสุดยอดอาเซียน พร้อมยก “พลเอกประยุทธ์เป็นบิดาแห่งความย้อนแย้ง”
สอดคล้องกันนี้ร้อยโท หญิงสุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ประเมินให้คะแนนบทบาทของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลและประธานอาเซียน “ติดเอฟ ประสบความล้มเหลาว ดำเนินนโยบายการต่างประเทศผิดพลาด” ชี้จากไม่สามารถเชิญประเทศมหาอำนาจที่มีอำนาจในการตัดสินใจการเรจาทางการค้ามาร่วมการประชุมครั้งนี้ได้ ส่อนัยยะการเมืองและการสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสหรัฐอเมริกาที่แย่ลง โดยเฉพาะภาพที่สะท้อนว่าประเทศเหล่านั้นลดความสำคัญด้วยการส่งระดับผู้แทนมาร่วมประชุม และพลเอกประยุทธ์ไม่มีโอการแก้ไข เพราะเป็นเจ้าภาพครั้งสุดท้ายแล้ว จึงกลายเป็นการก้าวลงตำแหน่งประธานอาเซียนด้วยความล้มเหลว