แกะรอย "เสือโคร่ง" หลุดป่าห้วยขาแข้งกัดวัว

กรณีแม่วัวตั้งท้อง 7 เดือนของชาวบ้านที่นำมาเลี้ยงใกล้เขตป่าอนุรักษ์ ถูกเสือโคร่งจากพื้นที่ป่าห้วยขาแข้งซึ่งเป็นพื้นที่เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จ.อทัยธานี กัดเป็นแผลบริเวณสะโพก

วันนี้ (3 ก.พ2564) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งเข้าตรวจสอบ​พื้นที่ ประสานสัตวแพทย์ประจำส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่​ 12 (นครสวรรค์)​ ติดตามอาการแม่วัว และทำความเข้าใจกับผู้เลี้ยงวัว​

สัตวแพทย์พบว่าวัวที่ถูกทำร้ายเป็นวัวเพศเมีย อายุป 4 ปี กำลังตั้งท้องได้ 7 เดือน มีบาดแผลบริเวณสะโพก และต้นขาหลังทั้ง​ 2​ ข้าง แผลที่บริเวณสะโพกด้านซ้ายยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ลึกถึงกล้ามชั้นใน แต่ไม่ถึงกระดูก มีเศษหิน เศษดินอยู่ในบาดแผล และบริเวณใกล้แผลที่สะโพก พบแผลเป็นรู จำนวน 2 รู ขาด้านขวา พบแผลรู 1 บาดแผล และรอยเล็บตามต้นขาทั้ง​ 2​ ข้าง

ภาพ:กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์ุพืช

ชี้เสือโคร่งเพิ่ม 2 เท่าขยายหากินนอกเขตป่า 

นายสมปอง ทองสีเข้ม ผอ.สำนักอนุรักษ์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ให้สัมภาษณ์ไทยพีบีเอสออนไลน์ว่า ได้รับรายงานเหตุการณ์เสือโคร่งเข้ากัดวัวของชาวบ้านแล้ว โดยส่งเจ้าหน้าที่ผลักดันเสือเข้าในป่าลึกแล้ว แต่ยังไม่เจอตัว ทั้งนี้พบว่าที่เกิดเหตุอยู่ห่างจากป่าห้วยขาแข้งเพียงแค่ 2 กิโลเมตรเท่านั้น สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเสือโคร่งที่ออกนอกพื้นที่ ซึ่งมีทั้งกรณีเสือหนุ่มที่อาจจะขยายอาณาจักร หรืออาจจะเป็นเสือแก่ที่หากินสัตว์ป่าไม่ไหว เมื่อเจอฝูงวัวที่นำมาเลี้ยงใกล้ป่าจึงจะกัดกินเป็นอาหาร  

เสือในป่าห้วยขาแข้ง-ทุ่งใหญ่นเรศวร เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปี 2550 ประมาณ 50 ตัว ตอนนี้ที่ถ่ายรูปลายพาดกลอนยืนยันอัตลักษณ์ได้ 77 ตัว และมีลูกเล็กๆเพิ่มขึ้น ทำให้เสือรุ่นหนุ่มขยายพื้นที่หากิน เบื้องต้นไม่น่าจะใช่เสือที่ถูกติดปลอกคอไว้ เพราะไม่เจอพิกัด 

ภาพ:กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์ุพืช

 

นายสมปอง กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ถือว่าเกินความคาดหมาย เพราะชาวบ้านบางกลุ่มยังใช้วิธีการปล่อยวัว และสัตว์เลี้ยงหากินใกล้ๆแนวเขตป่า และ 3-4 วันจะมาตามดูแล จึงมีโอกาสที่สัตว์ป่าที่ออกมาจะเจอสัตว์เลี้ยงและถูกทำร้ายได้ ที่ผ่านมาเคยมีกรณีวัวถูกฝูงหมาไนล้อมมาแล้ว 

ตอนนี้ส่งเจ้าหน้าที่ติดตาม และผลักดันเสือโคร่งตัวนี้เข้าป่าลึก พร้อมประชาสัมพันธ์ชาวบ้านห้ามนำสัตว์ป่ามาเลี้ยงใกล้พื้นที่ป่าอนุรักษ์

 

ภาพ:กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์ุพืช