4 วัน 4 คืน กับอีกครึ่งวัน คือข้อตกลงร่วมกันของ 3 ฝ่าย ที่จะเปิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี รวม 10 คน ในวันที่ 16 - 19 ก.พ. และลงมติ 20 ก.พ.64 โดยมีการจัดสรรเวลาการอภิปราย ซึ่งพรรคร่วมฝ่ายค้านได้เวลา 42 ชม. แต่ฝ่ายรัฐบาลอาจตอบอภิปรายวันละ 6 ชม.
ส่วนผู้อภิปรายในสัดส่วนของพรรคร่วมฝ่ายค้านวางไว้เบื้องต้น 38 คน แบ่งเป็นพรรคเพื่อไทย 15 คน พรรคก้าวไกล 13 คน พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ พรรคพลังปวงชนไทย พรรคละ 1 คน พร้อมนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ พรรคเศรษฐกิจใหม่ และจากพรรคไทยศรีวิไลย์ ตามที่ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ประกาศตัวเป็นพรรคฝ่ายค้านอิสระด้วย
สำหรับประเด็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามที่พรรคร่วมฝ่ายร่วมค้านยื่นญัตติเอาไว้ คือการบริหารราชการแผ่นดิน และการแก้วิกฤตเศรษฐกิจที่พรรคฝ่ายค้านมองว่า “ล้มเหลว” ของนายกรัฐมนตรี รวมถึงประเด็นเชื่อมโยงกับการบริหารจัดการสถานการณ์ COVID-19 ทั้งมิติความมั่นคง และสาธารณสุข
การแก้ปัญหายาเสพติด การใช้อำนาจมาตรา 44 ที่ผิดพลาด รวมถึงปมรถไฟฟ้าสายสีเขียว ทั้งเรื่องต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ค่ารถไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น ที่นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.พรรคเพื่อไทยประกาศเอาไว้ ซึ่งเรื่องนี้ยังจะถูกโยงอภิปราย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยด้วย
ไม่แตกต่างจากนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ถูกหยิบยกประเด็นการใช้อำนาจแทรกแซงข้าราชการประจำ และออกคำสั่งเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง ขณะที่นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน โดนข้อหาการจัดการแรงงานผิดกฎหมาย ที่กลายเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ของการระบาด COVID-19 รอบใหม่
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ อยู่ที่ปมการทุจริตเรื่องถุงมือยางขององค์การคลังสินค้า เกี่ยวพันกับบริวาร-ญาติมิตร ทั้งนี้การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้เตรียมตั้งวอร์รูม และเตรียม ส.ส.ในสภาเพื่อตอบโต้แล้ว หากมีการประท้วงไม่มีเหตุผล โดยเฉพาะประเด็นที่เชื่อมโยงกับสถาบันฯ
ขณะเดียวกันพรรคร่วมฝ่ายค้าน ต่างมั่นใจว่าหลังการอภิปรายแล้ว เตรียมนำหลักฐานยื่นเอาผิด และถอดถอนรัฐมนตรีต่อศาลรัฐธรรมนูญ ศาลอาญา และ ป.ป.ช. อย่างน้อย 4 คน โดยหนึ่งในจำนวนนั้นคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้นำรัฐบาล
