วันนี้ (18 ก.พ.2564) นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.ก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจ "ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ" รมว.ศึกษาธิการ โดยระบุว่า นายณัฏฐพล ได้ล้างผลาญงบประมาณกว่า 4 แสนล้านบาทต่อปี เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง ภาพรวมการศึกษาของไทยตกต่ำมาตั้งแต่การรัฐประหารปี 2557 เพราะมีการยัดเยียดเอาอำนาจนิยมเข้าไปในโรงเรียน จากเดิมที่มีมากอยู่แล้ว กลายเป็นสาหัสมากขึ้นไปอีก
นักเรียนจากทั่วประเทศออกมาขับไล่ รมว.ศึกษาธิการด้วยตัวเอง นับเป็นการเคลื่อนไหวครั้งประวัติศาสตร์ โดยมีข้อเรียกร้องให้หยุดคุกคามนักเรียน ยกเลิกระเบียบที่ล้าหลัง และปฏิรูปการศึกษา แต่ข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อ ไม่มีความคืบหน้า
ผมขอเสนอข้อเรียกร้องข้อที่ 4 คือ ถ้าทำทั้ง 3 ข้อแรกไม่ได้ ก็ออกไป
นายปดิพัทธ์ ยังระบุว่า ปีที่ผ่านมามีเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี อย่างน้อย 5 คน ถูกตั้งข้อหาฝ่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และยุยงปลุกปั่น รวมถึง ม.112 เพราะเคลื่อนไหวในโรงเรียน โดยภาคีนักเรียนไทยรายงานว่ามี 109 โรงเรียนละเมิดสิทธินักเรียน
ปัญหานักเรียนไทยยากจนลดลง แต่นักเรียนยากจนพิเศษกลับเพิ่มขึ้น หากรวมแล้วประเทศไทยกำลังมีครอบครัวนักเรียนไทยยากจนลดลงและยากจนพิเศษรวม 1,768,211 ครอบครัว หลายครอบครัวต่อแถวอยู่หน้าธนาคารกรุงไทย แต่ รมว.ศึกษาธิการ กลับปล่อยให้มีการตัดงบกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา จำนวน 1 พันล้านบาท
นักเรียนนับแสนคนเข้าไม่ถึงกองทุนนี้ ด้วยเหตุผลว่า เป็นภาระทางการเงินการคลัง แม้จะเป็นเงินเล็กน้อยแต่หมายถึงชุดนักเรียน รองเท้า หนังสือ หรือชีวิตของนักเรียนคนหนึ่ง ที่จะได้เข้าสู่เศษเสี้ยวความเสมอภาค
รัฐมนตรีบาทเดียว ซื้อไข่เจียวยังไม่ได้สักฟอง
ส่วนการเสนอขอให้ปรับค่าอาหารกลางวัน รมว.ศึกษาธิการ ยืนยันมาตลอดว่า กำลังดำเนินการอยู่ พร้อมเคยชี้แจงในสภาว่า "ส.ส.วิโรจน์ เสนอให้ปรับเป็น 23 บาท เป็นการเสนอที่ไม่ใช้สมอง และควรปรับเป็น 36 บาท" แล้วนี่ไปใช้สมองกันมาอย่างไรถึงออกมาเป็น 21 บาท"
ผมขอให้ รมว.ศธ.ขอโทษสภาฯ และประชาชนที่ทำตามที่พูดไม่ได้ ผมขอให้ฉายาท่านว่า รัฐมนตรีบาทเดียว ซื้อไข่เจียวยังไม่ได้สักฟอง
นอกจากนี้ ครูอัตราจ้างยังมีปัญหาอย่างต่อเนื่อง ครูธุรการ ภารโรงมีสัญญาจ้างเพียง 1-2 เดือน ถูกเลิกจ้างได้ทุกเมื่อ แล้วบุคลากรคนไหนจะทำงานเต็มที่ ทั้งที่ไม่รู้ว่าชีวิตเดือนหน้าจะเป็นอย่างไร ผ่านมา 2 ปี รมว.ศธ.ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ยกเว้นเพิ่มค่าอาหารกลางวัน 1 บาท
ใบสั่งกรุยทางวางเครือข่ายใน สกสค.
นายปดิพัทธ์ ยังได้เปิดเผยถึงกรณีการแต่งตั้ง วันที่ 22 ต.ค.2562 มีการแต่งตั้งนายดิศกุล เกษมสวัสดิ์ เป็นเลขาธิการ สกสค. ก่อนวันที่ 13 พ.ย.2562 จะมีการแก้ไขระเบียบทรัพยากรบุคคล โดยแก้คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง เพื่อเอื้อใครบางคน
ต่อมาในวันที่ 14 พ.ย.2562 นายธนพร สมศรี ลาออกจากตำแหน่งข้าราชการการเมือง ก่อนได้รับการแต่งตั้งเป็น รองเลขาธิการ สกสค.จากนายดิศกุล
จากนั้นในวันที่ 5-14 ส.ค.2563 มีการเปิดรับสมัครเลขาธิการ สกสค. สุดท้ายนายธนพร เป็นหนึ่งในผู้สมัครชิงเก้าอี้ จากผู้สมัคร 14 คน
ทั้งนี้ การพิจารณาผู้สมัครใช้เวลาเพียง 1 วัน ทำให้ นายธนพร อดีตผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐ กลายเป็นเลขาธิการ สกสค. โดยมีนายดิศกุล หลีกทางให้ไปเป็นเลขาธิการคุรุสภา นี่นับว่าเป็นใบสั่ง ในการวางเครือข่าย รัฐมนตรี วางแผนเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อกรุยทางให้คนของตัวเอง เข้าไปทำอะไรบางอย่างใน สกสค.
ภายหลัง เลขาธิการ สกสค.ยังแก้คุณสมบัติผู้อำนวยการ สกสค.จังหวัด ด้วย ผลที่ได้คือ ผอ.สกสค.ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ถูกตั้งข้อสงสัย ว่าเป็นเครือข่ายรัฐมนตรีทั้งหมด แทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของราชการ ยึดอำนาจในกระทรวงศึกษาธิการ จนกองทุนเพื่อสวัสดิภาพของครูซึ่งใหญ่ที่สุดในประเทศอยู่ภายใต้เครือข่ายรัฐมนตรีทั้งหมด
ผลประโยชน์ของนักเรียนสู้จนได้ค่าอาหารกลางวัน 1 บาท แต่ผลประโยชน์ตัวเองสู้ไม่หยุด
"ณัฏฐพล" ยันไม่เคยหนีปัญหาเดินหน้าพลิกการศึกษา
ด้านนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ชี้แจงข้ออภิปราย ยืนยันทำงานมา 1 ปีครึ่ง ลงพื้นที่เกือบ 1,000 โรงเรียน ใน 50 จังหวัด โดยไม่มีการบอกล่วงหน้า เพื่อให้ทราบปัญหา ซึ่งปัญหาการศึกษาไทยมีความซับซ้อนและฝังรากลึก แต่สิ่งดีดีก็มีอยู่จำนวนมาก ขออย่าเพิ่งด้อยค่าการศึกษาไทย
ผมมีความหวังและมั่นใจว่าจะขับเคลื่อนการศึกษาไทยไปได้ เพราะที่ผ่านมาทุกรัฐบาลได้พยายามแก้ปัญหาการศึกษา แต่เป็นไปในลักษณะแก้ไข ปรับแก้บางประเด็น ไม่สามารถพลิกเปลี่ยนได้
การพลิกการศึกษาต้องดูรายละเอียด ยืนยันไม่เคยหลบ หรือหนีปัญหาของเยาวชน พร้อมรับฟัง โดยประเด็นที่นักเรียน นักศึกษา สะท้อนและร้องเรียนเกี่ยวกับคุณภาพการศึกษา ร้อยละ 95 เป็นความจริงที่เกิดขึ้น ทั้งปัญหาผู้สอน ภาระงานครู ขาดแคลนอัตรากำลัง การประเมินวิทยฐานะ ใบประกอบวิชาชีพ
นายณัฏฐพล ระบุอีกว่า มีบางกลุ่มที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับทรงผมและเครื่องแต่งกาย ซึ่งได้ตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาการศึกษา โดยมีตัวแทนจากทุกภาคส่วนและนำประเด็นทรงผมและเครื่องแต่งกายมาพูดคุยก่อน พร้อมทั้งเชิญกลุ่มนักเรียนเลวมาร่วมหารือและทำตามข้อเสนอจัดเฟซบุ๊กไลฟ์จากกระทรวงศึกษาธิการ
ยืนยันเพิ่มงบกองทุนเสมอภาคทุกปี
สำหรับประเด็นกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หน่วยงานนี้มีบอร์ดอิสระที่ขึ้นตรงต่อนายกฯ ไม่ใช่หน่วยงานในกำกับกระทรวงศึกษาธิการแต่ทำงานร่วมกันอย่างดี และได้รับงบฯ เพิ่มขึ้นทุกปี โดยปี 2562 ได้งบฯ 2.5 พันล้านบาท และปี 2563 ได้งบฯ 5.4 พันล้านบาท
ล่าสุด เสนอ 7 พันล้าน แต่สำนักงบฯ อนุมัติกว่า 6 พันล้านบาท ยันเป็นไปตามความเหมาะสม แต่จริง ๆ หน่วยงานนี้ ควรได้รับงบฯ 2.5 หมื่นล้านต่อปี เพราะดูแลนักเรียนยากจนพิเศษและยากจน แต่ยืนยันว่าเด็กกลุ่มนี้จะได้รับการดูแลแน่นอนภายใน 3-4 ปี ไม่ต้องถึง 10 ปี
ช่วง COVID-19 สพฐ.จัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน แม้เป็นจำนวนไม่มาก โดยดึงงบฯ จากกิจกรรมที่ทำไม่ได้ในช่วงเวลาดังกล่าว เช่น ทัศนศึกษา ลูกเสือเนตรนารี มั่นใจการเลื่อนเปิดเทอมไป 1 ก.ค. ทำให้ครูทั้งประเทศมีความเข้าใจและสัมผัสเทคโนโลยีที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน
ส่วนพื้นที่ห่างไกล ไม่มีไฟ ไม่มีอินเทอร์เน็ต มีการใช้ใบงาน แบบฝึกหัด และนำหนังสือไปให้ มั่นใจว่าครูทั่วประเทศมีความสามารถเพียงพอ ขณะที่ประเด็นค่าอาหารกลางวันนั้น แม้อยากได้งบฯ จำนวนมากที่สุด แต่ต้องคำนึงถึงภาระงบฯ ของประเทศ
ค่าอาหารกลางวัน ผมเคยเสนองบฯ รายหัว 36 บาท และต่ำสุด 24 บาท แต่เมื่อตรวจสอบภาระงบฯ จึงปรับลดลงมาที่ 21 บาท เพราะหากเป็น 24 บาท โรงเรียนขนาดใหญ่ก็จะได้รับงบฯ มากเกินไป
สำนักงบฯ มีข้อกังวลว่าหากดำเนินการขึ้นไปแบบขั้นบันได จะมีภาระงบฯ ถึง 3 พันล้านบาท แต่ได้อธิบายว่า 21 บาทเป็นพื้นฐาน ในอนาคตจะมีโรงเรียนขนาดกลางมากขึ้น และโรงเรียนขนาดเล็กจะเป็นไปในลักษณะสแตนอโลน สุดท้ายจะสามารถคำนวนตัวเลขที่เหมาะสมได้
ขอให้ทีมงานจัดทำแผนก่อนแล้วค่อยแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่ ส่วนตัวเลข 21 บาทเป็นของปี 65 ยังมีเวลาปรับตัวเลขอีกในอนาคต และยอมรับว่าค่าใช้จ่าย 20 บาทต่อคนต่อวันนั้นน้อย หากมีโอกาสนำตัวเลขเข้ามาตามที่คาดหวังไว้ จะนำเสนอ ครม. เพิ่ม 15 บาท