เรียกว่าเป็นประเด็นหลักของโลกไปแล้วสำหรับ "รัสเซีย-ยูเครน" ที่ไม่ว่าการประชุมเวทีใดก็ตามในโลก จะต้องหยิบยกเรื่องนี้เข้าที่ประชุมด้วย
แม้ว่านานาชาติที่ไม่เห็นด้วยกับการโจมตียูเครนของรัสเซียจะพากันออกมาประณามการกระทำครั้งนี้ และเรียกว่า "สงคราม"
แต่ก็ยังมีอีกหลายชาติเช่นกันที่เลี่ยงจะใช้คำๆ นี้ และใช้คำว่า "ความขัดแย้ง" แทน
รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ วิเคราะห์ถึง 3 ปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้ "สหรัฐอเมริกา" เลือกที่จะเข้าร่วมประชุมในเวทีการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 40-41 ที่กรุงพนมเปญ กัมพูชา และเวทีการประชุมกลุ่ม G20 ประจำปี 2565 ที่เกาะบาหลี อินโดนีเซีย ที่ส่วนใหญ่นั้นจะต้องเน้นไปที่ การพูดถึงปัญหาระหว่างรัสเซีย-ยูเครน
1. การกดดันจากสหรัฐฯและพันธมิตรที่เข้าข้างยูเครน
เห็นได้จากทั้ง 2 เวทีการประชุมในกัมพูชาและอินโดนีเซีย ที่ทั้ง 2 เจ้าภาพเลือกที่จะเชิญ โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ปธน.ยูเครนให้มีส่วนร่วมในการประชุมด้วย
ในเวทีอาเซียน สมเด็จฮุน เซน ได้ส่งคำเชิญให้ เซเลนสกี เข้าร่วมประชุมอาเซียนผ่านทางออนไลน์ แต่ถึงแม้จะไม่ได้รับความเห็นชอบจากชาติสมาชิกครบทั้ง 10 ประเทศ จึงทำให้ เซเลนสกี ไม่สามารถร่วมประชุมได้นั้น แต่ในเวทีนี้ สมเด็จฮุน เซน ในประธานอาเซียนก็ได้แสดงเจตน์จำนงที่ก้าวออกมาผลักดันมติประณามรัสเซียตามการร้องขอของสหรัฐฯ และชาติตะวันตก
อนึ่ง กลุ่มสมาชิกอาเซียน จะบรรลุข้อตกลงอะไรได้บ้างนั้น จะต้องได้รับความเห็นชอบเหมือนกันทั้ง 10 ประเทศเท่านั้น
ส่วนในเวที G20 ปธน.โจโก วิโดโด เคยบินไปเชิญ เซเลนสกี ที่ยูเครน และ ปูติน ที่รัสเซีย ให้เข้าร่วมการประชุม G20 ด้วยตัวเองมาแล้ว ถือว่าเป็นการเดินเกมทางการทูตเชิงรุก ที่ "โจโกวี" ได้แสดงให้ประชาคมโลกเห็นถึงศักยภาพของอินโดนีเซีย ที่มีความสนใจและพยายามเรียกร้องหาทางเจรจาเพื่อยุติปัญหา รัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อมานานร่วม 9 เดือน
2. เรื่องร้อนที่ทุกเวทีต้องมี
ดร.ปณิธาน เปรียบเทียบว่า ถ้าในเมืองไทยตอนนี้ เรื่องร้อนๆ ที่ต้องพูดถึงก็คงไม่พ้น "ชูวิทย์-สันทนะ" เฉกเช่นเดียวกับเรื่องร้อนระดับโลก รัสเซีย-ยูเครน ที่ต้องมีอยู่ในทุกวงการประชุม
และยิ่งเป็นเรื่องที่ สหรัฐและชาติตะวันตก เห็นเป็นเรื่องสำคัญเพราะส่งผลกระทบในทุกด้านทั่วโลก ทั้งเรื่องเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก วิกฤตพลังงาน การเดินทางระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์เชิงทูต รวมถึงปัญหาการใช้ความรุนแรงที่ส่งผลต่อประชาชนทั้งประเทศ ดังนั้น สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรจึงมีความเห็นว่า ในการประชุมทุกเวทีนั้น ต้องมีการหยิบยกเรื่อง รัสเซีย-ยูเครน เข้ามาพูดในที่ประชุม
3. ความเห็นอกเห็นใจ
ทั้งกัมพูชาและอินโดนีเซียเอง เคยผ่านช่วงเวลาเลวร้ายจากจากถูกรุกรานโดยประเทศอื่นมาแล้ว จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเข้าใจและเห็นใจ "ยูเครน" ในขณะนี้ ที่กำลังประสบปัญหาเดียวกับทั้ง 2 ชาติในอดีตมาก่อน
ในขณะที่ยูเครนเองก็พยายามเดินสายขอเข้าร่วมในทุกเวทีทั่วโลก เพื่อเรียกร้องให้มีการสนับสนุนให้ได้รับความช่วยเหลือมากขึ้น ในการประชุมเวที G20 แม้ เซเลนสกี จะไม่ได้มาร่วมการประชุมด้วยตัวเอง แต่เขาก็เรียกร้องผ่านทางออนไลน์ ให้ทั่วโลกให้ความช่วยเหลือยูเครนให้มากขึ้น และขอให้ร่วมกันประณามรัสเซีย โดยในเวที G20 เซเลนสกี เลือกที่จะพูดว่า
ถึงทุกท่านในการประชุม G19 ยูเครนจะไม่มีการต่อรองใดๆ ทั้งสิ้นในสงครามครั้งนี้ สงครามจะหยุดได้ต้องขึ้นอยู่กับรัสเซียเท่านั้น
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhpEv70h8QJneNe7o45aWqLmaAD1.jpg)
และในวันที่ เซเลนสกี ได้พูดในเวที G20 ก็เป็นวันเดียวกันกับที่ สี จิ้นผิง ปธน.จีน ได้คุยกับ เอมานูว์แอล มาครง ปธน.ฝรั่งเศส ให้ช่วยเดินหน้าเจรจาในเรื่องรัสเซีย-ยูเครนต่อไป
แม้ว่าทั้ง 2 เวทีระดับนานาชาติที่จัดขึ้นทั้งในกัมพูชาและอินโดนีเซีย จะไม่มีทั้ง ปธน.ปูติน และ ปธน.เซเลนสกี มาร่วมงานได้จริง แต่ก็ถือว่าทั้ง 2 ประเทศได้แสดงศักยภาพในเรื่องนี้ได้มากพอ และทำให้สหรัฐฯและชาติพันธมิตรได้เห็นถึงความพยายามแล้ว
ที่มา : BBC, CNN, Politico